พอเดือนสิงหาคม 1993 Honda ระเบิดถล่มตลาดรถยนต์เมืองไทยลูกโต ช็อควงการ ด้วยการเปิดตัว
Civic 3 Door ในราคา โคตรถูก รุ่นเกียร์ธรรมดา 1.5 LX ตั้งราคาขายเพียง 361,000 บาท ส่วนรุ่น
เกียร์อัตโนมัติ 1.5EX แปะป้ายเอาไว้ 396,000 บาท
เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคที่คนไทยยังไม่รู้จัก Hotmail ไม่ได้คาดคิดกันมาก่อนว่า Honda จะแอบซ่อนเขี้ยวเช่นนี้!
แน่นอนว่ากระแสตอบรับนั้นโด่งดังชนิดที่เราต้องไปเขียนถึงกันในบทความ 50 รถดังแห่งยุคเลยทีเดียว
ฮิตขนาดไหน ก็ลองฟังตา J!MMY ของเรา เล่าไว้แล้วกัน ในฐานะที่เกิดทันเห็นปรากฎการณ์บ้าระห่ำครั้งนั้น
"ตอนนั้น ผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 ที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ตั้งอยู่ในซอย ประมวญ อันเป็นสถานที่
ตั้งแต่ดั้งเดิมของ โชว์รูม Honda หนึ่งในไม่กี่สาขาที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ ตอนนั้น เช้าวันที่ 1 สิงหาคม 1993
Honda เปิดตัว และลงโฆษณา Civic 3 ประตู ในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนึ่งหน้าเต็ม พร้อมกับราคาขาย
ปลีกเล่นเอาผมช็อคไปเลย เพราะถือเป็นเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์เมืองไทย ว่า Honda
จะกล้าตั้งราคาขายรถยนต์ของตน ได้ถูกเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ (คิดดูแล้วกันว่า ขนาด รุ่นถูกสุดของ Honda
Brio ในปี 2011 ก็ยังมีราคาตั้ง แพงกว่า เจ้า Civic 3 ประตูในตอนนั้น)
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า พอเลิกเรียน ผมเดินออกไปดูหน้าโชว์รูม Honda สภาพในโชว์รูมนั้น
เต็มไปด้วยผู้คนที่มาดูรถ แม้ว่า จะมีม่านบังแดดปิดลงมาครึ่งหนึ่ง เพราะตอนบ่าย แสงแดด จะปะทะกับผู้คน
ในโชว์รูมกันเต็มๆ แต่ก็บังสภาพผู้คนที่เต็มโชว์รูมไม่มิด งานนี้พนักงานขาย รับสายโทรศัพท์กันจ้าละหวั่น
และเพียง 3 วันหลังจากนั้น Honda ก็กวาดยอดจอง Civic 3 ประตูไปมากถึง 9,000 คัน!!
กลายเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์รถยนต์เมืองไทย เพราะไม่เคยมีใครทำสถิติยอดสั่งจอง
เยอะมากขนาดนี้มาก่อน จน Honda ประกาศขอปิดรับจองชั่วคราว เพื่อเร่งผลิตและระบายยอดสั่งจองทั้งหมด
ให้เรียบร้อยเสียก่อน"
ผมเสริมให้อีกว่าขนาดรับจองแทบไม่ทัน และบางที่ปิดรับจองไปเลย ยอดก็ยังไหลมาเทมา แม้ 4 วัน
หลังจากนั้นยอดจองก็ยังเดินหน้าต่อจนทะลุ 10,000 คัน และถ้ามองไกลไปอีก..เอาเป็นว่ายอดขายของ
Honda ปี 1994 เขยิบมาอยู่ที่ 24,000 คันโดยประมาณ ซึ่งเพิ่มมากกว่าปีก่อนถึง 60%! ไม่ต้องบอกก็รู้
ว่าใครเป็นตัวดัน
ความแตกต่างระหว่างเมืองไทยที่เด่นชัดกับตลาดแม่อย่างญี่ปุ่นก็คือ ในขณะที่เมืองแม่ของเขา มีรุ่น ระดับ
การตกแต่งและเครื่องยนต์ต่างๆให้เลือกมากมาย แต่ในเมืองไทย Honda Cars เลือกที่จะมีให้เลือกแค่รุ่นเดียว
กับระบบส่งกำลังสองแบบ และเป็นขุมพลังแบบเดียวกันกับ Civic 4 ประตูรุ่น 1.5LX/EX ซึ่งมีแรงม้าแค่ 91 ตัว
พอได้ทราบว่าธีมของรถรุ่นนี้ในเมืองไทยคือ "Drive your city life!" มันก็บ่งชี้กันอยู่ชัดเจนแล้วว่าพวกเขา
กะจะลงเล่นในตลาดซิตี้คาร์ ซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาเลือกสเป็ครุ่นต่ำมาทำตลาดและพยายามกดราคา
ให้ต่ำมากจนคนที่กำลังคิดจะซื้อรถ C-Segment เครื่อง 1.3 ลิตร 4 ประตูจากค่ายของคู่แข่งต้องคิดกัน
หลายตลบ เพราะการยอมเสียจำนวนประตูไป แต่ได้เครื่องยนต์พิกัดโตกว่า แถมด้วยภาพลักษณ์ความเป็น
Honda ซึ่งสมัยนั้นเป็นรถญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าอะไหล่แพง มันจึงทำให้มีความเชื่อกันว่าคนที่ใช้ Honda ต้อง
มีเงินติดกระเป๋ามากอยู่พอสมควร
อุปกรณ์ติดรถ..หึหึ...ใครที่บ่นว่าให้ของมาน้อย กรุณาย้อนกลับไปดูราคาเปิดตัวเสียก่อน ราคามิตรภาพแบบนี้
ได้กระจกไฟฟ้ามาก็บุญแล้ว นอกเหนือไปจากนี้อุปกรณ์อื่นๆแทบจะลอกตารางมาจากรุ่น 1.5 4 ประตู
เบาะหนังเทียม ล้อ 185/70/13 พร้อมฝาครอบ พวงมาลัยเพาเวอร์มีในเฉพาะรถรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
เข็มขัดนิรภัยสำหรับคนนั่งหน้าจะเป็นแบบ 3 จุด ELR แต่เบาะหลังจะให้แบบ 2 จุด สองตำแหน่ง ..นี่สิยอด!
เพราะคู่แข่งที่เบิ้มกว่าอย่าง Nissan NX Coupe ที่ผมใช้อยู่ ราคา 600,000 บาท แต่ไม่มีเข็มขัดคนนั่งหลังให้
นะครับ สองจุดของ Honda ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
จุดเด่นอีกประการหนึ่งก็คือเบาะหลังของรุ่น 3 ประตูนี้จะออกแบบให้สามารถพับได้เพื่อสะดวกแก่การขนของ
ชิ้นโตๆ ฝากระโปรงท้ายก็ออกแบบให้เปิดแยกได้ 2 ชิ้น (ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบมาก) ยิ่งไปกว่านั้น Honda
ได้ติดตั้งเครื่องกรองไอเสีย Catalytic Converter มาให้กับรถรุ่นนี้ด้วย เพื่อสนับสนุนเทรนด์ลดมลภาวะ
ซึ่งในช่วงนั้นต่างค่ายต่างก็พากันทยอยติดเครื่องกรองไอเสียนี้ใส่ให้กับรถที่จำหน่ายในประเทศกัน
ที่สำคัญ..ฮี่ฮี่ฮี่..รถราคาสามแสนหกในวันนั้น มีปัดน้ำฝนกระจกหลังมาให้ด้วยว้อยย!
สำหรับโทนสีที่มีให้เลือกในล็อตแรกนั้น ประกอบไปด้วยสีแดงมิลาโน่ น้ำเงินฮาร์เวิร์ด ขาวฟรอสต์ และ
เงินฟรอสตี้ (ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง กับอาหารเช้าซีเรียล ของ Kellogs แต่อย่างใด)
นอกจากความดังในเรื่องยอดขายแล้ว Civic 3 ประตูยังเป็นข่าวในสื่อสิ่งพิมพ์ (ก็สมัยนั้นมันไม่มี facebook)
อยู่พักใหญ่ เนื่องจากมี Civic 3 ประตูเกิดอุบัติเหตุ และความเสียหายก็เผยให้เห็นวัสดุซับเสียง
ที่ดันซวยมีหน้าตาคล้ายกระดาษลัง คนเลยพากันเข้าใจว่า Honda เอากระดาษลังมาบุหลังคา
ซึ่งที่จริงมันไม่ได้บ้าขนาดนั้น แค่ดูคล้ายกันเท่านั้นเอง คิดมากฉี่เหลืองเปล่าๆ
ภายใน 1 ปีหลังจากการเปิดตัว Honda ก็มีรายการปรับเสริมเพิ่มแต่ง Civic รุ่นต่างๆอีกเป็นระยะๆ
Honda Civic 3 ประตู มีการเพิ่มแถบกันกระแทกด้านข้างตัวรถ เพิ่มเหล็กกันโคลงหลัง
เพิ่มคานเสริมนิรภัยในประตู (Side door beam) ส่วนโทนสีที่มีให้เลือก ก็มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง
แดงมิลาโน่ และขาวฟรอสต์ยังอยู่ แต่สีอื่นหายไปหมด กลายเป็นสีเงินสกาย น้ำเงินแอทแลนติกมาแทน
แล้วที่เด็ดสุด ก็น่าจะเป็นสีเหลืองเดซี่ที่ใจป้ำพ่นออกมาให้เลือก และนับว่าเป็นรถสีแปลกที่ได้รับ
กระแสตอบรับดีมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้น กว่าที่ Honda จะเอาสีเหลืองกลับมาให้คนไทยใช้อีกครั้งก็ต้องรอ
จนถึง Jazz GD ไมเนอร์เชนจ์ประมาณ 1 ทศวรรษให้หลัง
นอกจากนี้ก็มีการปรับราคาขึ้น จากเดิมกลายเป็น 398,000 บาทในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 425,000 บาท
ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
ส่วน Honda Civic รุ่น 4 ประตูมีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดกว่า!
เดือนสิงหาคม ปี 1994 Honda กำลังอยู่ในยุคปรับภาพลักษณ์ทางเทคโนโลยีในตลาดเมืองไทยขนานใหญ่
หลังจากที่ได้ชื่อว่าทำรถภาพลักษณ์สูงแต่ให้ของเล่นแบบไม่เต็มหน่วย ก็กลายเป็นลุย และชูจุดเด่นทาง
เทคโนโลยีเครื่องยนต์และอุปกรณ์กันเต็มที่ ในช่วงปีนั้น Honda เมืองไทยพยายามสร้าง Customer
Recognition ให้ลูกค้าได้รู้จักกับคำว่า "VTEC" อย่างจริงจัง รูประบายสีน่ารักเขียนว่า "I AM VTEC"
สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ Honda ยังนำรถหายากอย่าง Prelude VTi-R VTEC
แรงม้าเฉียด 200 ตัว และ Integra VTi-R 170 แรงม้าซึ่งทั้งคู่เป็นสเป็คออสเตรเลียมาให้คนไทยได้สัมผัส
ของแรง ส่วนทางด้านรถบ้าน Honda เปิดตัว Accord ใหม่ในปีนั้น ซึ่งแม้รุ่นหลักๆจะยังเป็น LXi/EXi
แต่ก็มีการนำรุ่นนำเข้าพิเศษ เครื่อง F22A SOHC VTEC มาให้เลือกใช้ด้วย (ราคา 1,170,000 บาท!)
แล้ว Civic ล่ะ? จะถูกทิ้งให้เป็นอนุกรมเดียวที่ไม่มีพลัง VTEC ให้เลือกเหรอ..บ้าน่า รถที่ทำยอดได้มาก
ที่สุดของค่ายนี่ล่ะ สมควรที่จะมีเครื่อง VTEC มากที่สุดแล้ว ดังนั้น จึงมีการนำเข้า Civic 1.6 VTi 4 ประตู
มาขายในราคา 745,000 บาท ซึ่งราคานี้ถือว่าสูงมากสำหรับรถยนต์นั่ง C-Segment สมัยนั้น แต่คุณได้
รถที่มีอุปกรณ์ครบครัน แถมมีมูนรูฟมาให้ด้วย มีที่เท้าแขนตรงกลาง เข็มขัดนิรภัย 3 จุด 4 ตำแหน่งครบ
พร้อม 2 จุด 1ตำแหน่งสำหรับคนนั่งหลังตรงกลาง เบาะนั่งหุ้มด้วยสักหลาดทั้งตัว เบาะหลังพับได้
กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังเพิ่มดิสก์เบรก 4 ล้อ และล้ออัลลอยขอบ 14 นิ้ว ลายพิเศษเฉพาะรถรุ่น VTi ที่นำเข้าเท่านั้น
แต่ส่วนที่น่าสนใจที่สุด ก็แน่นอนว่าต้องเป็นขุมพลัง D16 SOHC VTEC ซึ่งเหมือนกับรุ่น 1.6LXi, EXi
นั่นล่ะ ต่างกันตรงที่ฝาสูบแบบ VTEC ซึ่งการที่สามารถใช้ลูกเบี้ยว 2 ชุด ช่วยให้สามารถคงแรงบิด
รอบต่ำไว้ได้ในขณะที่รอบสูงก็จี๊ดจ๊าดขึ้นอีกหน่อย แรงม้าสูงสุดที่ได้คือ 130 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 14,8 ก.ก.ม./5,200 รอบต่อนาที
ตัวเลขช่างมันส์เขี้ยวขาโหดเท้าหนักเป็นยิ่งนักในยุคที่คู่แข่งค่ายอื่นๆม้าป้วนเปี้ยนกันแถวๆ 100-116 ตัว
ใครที่อยากได้ ก็มีให้เลือกกันทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด
ถ้าใครอยากรู้ว่า Civic EG คันไหนเป็น CBU จำไว้เลยว่ารถนำเข้ารุ่นนี้จะไม่มีการขลิบขอบกระจกด้วย
โครเมียม มีมูนรูฟ กระจกมองข้างและมือจับเปิดประตูเป็นสีเดียวกับตัวรถ นอกจากนี้จะมีให้เลือกเพียง
2 สีเท่านั้น คือแดงโทริโน่ (Torino) และสีเงินโว้ก (Vogue)
แต่..ขอให้โชคดี เพราะขนาดผมจำลักษณะแตกต่างแบบนี้ได้ ก็ได้เคยเห็นรถรุ่นนี้ไม่กี่คันตลอดชีวิตที่ผ่านมา
คิดว่าไม่น่าถึง 20 คันด้วยซ้ำครับ ถ้าใครมีใช้อยู่ ก็ถือว่าโชคดีมาก มีของดีเก็บไว้เถอะครับ
ในช่วงท้ายตลาด Honda Civic ยังมีการปรับโฉมครั้งสุดท้าย..เรียกได้ว่า Swan Song (คำภาษาอังกฤษ เอาไว้
ใช้อธิบายถึงการฝากผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นสุดท้ายไว้ก่อนจากลา) จาก Civic EG ก็ยังถือว่าไม่ธรรมดา
โดยหลังจากที่เปิดตัวรุ่น 1.6VTi ในแบบนำเข้า (และขายได้แบบกระปริบกระปรอย) Honda ก็ประกาศ
ออกสื่อว่าเห้ย..ถ้ารุ่นประกอบนอกแพงไป รออีกแป๊บ เดี๋ยวก็จะมีตัวประกอบในประเทศมาให้เลือก