|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
TWISTER
Verified
เข้าวงการ

ออฟไลน์
กระทู้: 19
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2013, 16:10:45 » |
|
ผม ถามสั้นๆตรงนี้เลย น้ำมัน เกรด SAE 50 ใช้กลับเครื่องยนต์แบบไหนครับ -SAE 50 ใช้กับรถเครื่องยนต์ที่มีลักษณะเข้าข่ายต่อไปนี้ 1.เครื่องยนต์ที่มีแรงม้าและแรงบิดสูง (ประเภทรถยุโรปหรือรถแข่ง) 2.เครื่องยนต์ที่เครื่องยนต์เริ่มจะสึกหรอหรือเครื่องยนต์มีอาการเครื่องหลวม 3.เครื่องยนต์ที่ใช้วิ่งติดต่อเป็นระยะทางยาวนานติดต่อกัน *หมายเหตุ ยิ่งค่า SAE ยิ่งสูงมากเท่าใด ฟิมล์น้ำมันก็จะมีขนาดใหญ่และทนทานต่อการสึกหรอมากขึ้นเท่านั้นแต่การประหยัดจะสวนทาง ส่วนค่า SAE เบอร์ต่ำๆจะช่วยในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพราะการไหลลื่นและแรงเสียดทานต่ำ SAE เบอร์สูง แต่ขนาดฟิมล์ก็จะเล็กลงไปการใช้งานในการวิ่งไม่หยุดหรือระยะยาวอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Regis100
ม่อนเงาะ ณ เชียงใหม่
ผู้คุมกฎ
อาจารย์ปู่
    
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 18,639

ผมก็แค่ผู้โง่เขลาคนนึงที่พยายามอยากฉลาด@ เชียงใหม่เจ้า
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2013, 16:41:42 » |
|
ผม ถามสั้นๆตรงนี้เลย น้ำมัน เกรด SAE 50 ใช้กลับเครื่องยนต์แบบไหนครับ -SAE 50 ใช้กับรถเครื่องยนต์ที่มีลักษณะเข้าข่ายต่อไปนี้ 1.เครื่องยนต์ที่มีแรงม้าและแรงบิดสูง (ประเภทรถยุโรปหรือรถแข่ง) 2.เครื่องยนต์ที่เครื่องยนต์เริ่มจะสึกหรอหรือเครื่องยนต์มีอาการเครื่องหลวม 3.เครื่องยนต์ที่ใช้วิ่งติดต่อเป็นระยะทางยาวนานติดต่อกัน *หมายเหตุ ยิ่งค่า SAE ยิ่งสูงมากเท่าใด ฟิมล์น้ำมันก็จะมีขนาดใหญ่และทนทานต่อการสึกหรอมากขึ้นเท่านั้นแต่การประหยัดจะสวนทาง ส่วนค่า SAE เบอร์ต่ำๆจะช่วยในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพราะการไหลลื่นและแรงเสียดทานต่ำ SAE เบอร์สูง แต่ขนาดฟิมล์ก็จะเล็กลงไปการใช้งานในการวิ่งไม่หยุดหรือระยะยาวอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า  งั้นเครื่องยนต์ ขนาด 1600 ซีซี แรงม้า ร้อยๆกว่า อายุการใช้งานมา แสนถึงสองแสนกิโล นี่ก็ถือว่าไม่เหมาะใช่ไม๊ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เชื่อผมไม่เชื่อผมไม่มีปัญหา
|
|
|
TWISTER
Verified
เข้าวงการ

ออฟไลน์
กระทู้: 19
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2013, 18:08:28 » |
|
งั้นเครื่องยนต์ ขนาด 1600 ซีซี แรงม้า ร้อยๆกว่า อายุการใช้งานมา แสนถึงสองแสนกิโล นี่ก็ถือว่าไม่เหมาะใช่ไม๊ครับ
ถ้าจะให้ตอบได้ดีนะครับก็คือเราควรยึดสเปคการใช้งานจากคู่มือ ซึ่งเครื่องยนต์สเปค 1600 cc.นั้นระบุให้ใช้เบอร์ 30 และ 40 (เบอร์ปลายนะครับ) ส่วนเบอร์ต้นก็มีผลค่าสัมพันธ์แบบเชื่อมโยง ในประเทศไทยนั้นเราสามารถใช้เบอร์น้ำมันเครื่องหรือ SAE ได้ 3 เบอร์ 30 40 50 (MONO GRADE) ถ้าจะให้แนะนำสเปคการใช้งานแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้นะครับ 1.SAE 30 จะเน้นกับรถ cc. ต่ำๆเพราะเรื่องของกำลังเครื่องยนต์และขนาดเครื่องยนต์มีขนาดเล็กฟิมล์น้ำมันขนาดเล็กหรือ SAE ต่ำ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม (เหมาะกับเครื่องยนต์ใหม่ๆ) 2.SAE 40 จะเป็นเบอร์ครบจักรวาล ใช้ได้ทั้งรถเก่า ใหม่ กลาง และเครื่องยนต์ทุกขนาด 3.SAE 50 จะออกเป็นทางรถใหญ่กำลังเครื่องยนต์สูง และใช้งานหนัก cc สูงๆขึ้นไป *หมายเหตุ SAE เอาเข้าใจง่ายๆ SAE สูงๆอดทน แต่เปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง SAE ต่ำ ประหยัดเชื้อเพลิง แต่ฟิมล์จะไม่ทนทานเท่า SAE สูง (เปรียบเทียบคุณเอาไม้คนน้ำเชื่อมกับเอาไม้คนน้ำอันไหนใช้แรงมากกว่ากัน) **สงสัยเรื่องใดสามารถ inbox มาสอบถามได้ครับ ยินดีให้คำแนะนำ (ออกตัวนิดนึงนะครับต้องขอโทษแอดมินด้วย ผมอยู่ในฐานะผู้ผลิตสารหล่อลื่น คือ เป็นเจ้าหน้าจากโรงงานผลิตสารหล่อลื่นโดยตรงครับ หากสงสัยเรื่องใดเกี่ยวกับสารหล่อลื่นไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ อุตสาหกรรม หรือ โรงงานขึ้นรูปหล่อรูปสามารถให้คำปรึกษาได้ครับ) ***ขอขอบคุณสำหรับคำถามครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
TWISTER
Verified
เข้าวงการ

ออฟไลน์
กระทู้: 19
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 19 ธันวาคม 2013, 18:33:55 » |
|
อ้ออีกเรื่องนึง จริงไม๊ครับว่า น้ำมันหล่อลื่นสมัยนี้ เกรด SJ ขึ้นไป ไม่ว่าจะราคาไหนก็ใช้ได้เป็นหมื่นกิโลเมตร  ไม่จริงครับ ต้องเกรด SL ขึ้นไปครับ(ต้องมาตรฐาน SL แท้ๆนะครับ) ถึงจะสามารถใช้ได้ 10,000 กม. เพราะ additive หรือสารเติมแต่งนั้นคุณภาพไม่เพียงพอ จริงๆแล้วรถยนต์วิ่ง 10,000 กม. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องดีๆแล้วเหมาะสมกับเครื่องยนต์ก็เหมาะสมแล้วครับ *น้ำมันเครื่องขึ้นต้นด้วย S เหมาะกับรถเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลขึ้นต้นด้วย C นะครับ **เครื่องเก่าแล้วกลัวว่ามาตราฐาน SN จะลื่นเกินไป รถเก่าใช้ไม่ได้ อันนี้เป็นความเชื่อผิดๆนะครับ สถาบัน API จากอเมริกากล่าวไว้ว่าค่ามาตราฐานเบอร์สูงสุดในปัจจุบันสามารถ COVER มาตราฐานเบอร์ที่ต่ำกว่าได้ ฉะนั้นรถเครื่องเก่าใช้มาตราฐานสูงๆได้ครับ แต่ค่าความหนืดต้องสัมพันธ์กันเท่านั้นเอง ขยายความมาตรฐาน SL บางยี่ห้ออาจจะปกป้องได้เกิน 10,000 กม. ด้วยซ้ำไป ปัญหาเดี๋ยว คือ ไม่ว่าน้ำมันเครื่องจะเทพขนาดไหนก็ตามไปตายเรื่องกรองน้ำมันเครื่องกันหมด เพราะ ไส้กรองน้ำมันเครื่องนั้นทำมาจากกระดาษ กระดาษแช่น้ำนานๆก็เละครับ หมายเหตุ คำถามเดิมครับ รถ 1,600 cc วิ่ง 1 -2 แสน ใช้เบอร์ปลาย 40 ก็พอครับ เพราะ 50 จะกินกำลังเครื่องจะเปลืองน้ำมันเอา แค่ 40 ก็เพียงพอ เว้นแต่ว่าคุณจะขับรถไม่พักแล้ววันละ 10 ชม. อัพก็ใช้ไปเถอะเพราะเครื่องยนต์ใช้งานหนักความร้อนสะสมมากๆ บางทีฟิมล์เบอร์เล็กๆก็เอาไม่อยู่เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
arm 2424
Gold Member
เจ้าสำนัก
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 592

ek 00 no.821
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2013, 12:34:36 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TWISTER
Verified
เข้าวงการ

ออฟไลน์
กระทู้: 19
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2013, 16:42:20 » |
|
-ส่วนมากน้ำมันเครื่องศูนย์หรือ OEM นั้นจะเป็นค่ามาตราฐานกลาง ถ้าเป็นหมวดเบนซินจะเป็น SL ส่วนเป็นดีเซลจะเป็น CF-4 ซึ่งบอกตามตรงครับมันเป็นเกรดน้ำมันที่ตกรุ่นไปหลายปีแล้วครับ สรุปง่ายๆคือ ศูนย์มักจะเอาเปรียบผู้บริโภคตรงจุดนี้ โดยอ้างเรื่องการรับประกัน (ถ้าคุณเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ในศูนย์บริการ คุณอาจจะได้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เกรดสูงในท้องตลาดและคุณภาพดีกว่า) *จะว่าศูนย์ก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกิจ การเรียงลำดับเกรดค่ามาตราฐาน เบนซิน SA SB SC SD SE SF SG SH SI SJ SK SL SM SN สูงสุดคือ SN ครับในปัจจุบัน ดีเซล CA CB CC CD CE CF CF-4 CG-4 CH-4 CI-4 CJ-4 สูงสุดคือ CJ-4 ครับในปัจจุบัน ลองดูนะครับทุกครั้งที่คุณซื้อน้ำมันเครื่องมาใช้เองคุณได้จ่ายเงินคุ้มค่าหรือไม่? ไม่เข้าใจเรื่องสารหล่อลื่นผมยินดีให้คำแนะนำครับ กระทู้ต่อมาเรื่อยๆได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
tdcub
Sponsor
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
กระทู้: 1,605

No.767
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2013, 17:12:34 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|