ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
22 พฤศจิกายน 2024, 02:48:57
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: มีปัญหาการใช้งานเว็บไซต์ หรือติดต่อลงโฆษณา ติดต่อ admin [ไม่ใช่ผู้ขายสินค้า] ที่ 0876889988   หรือ theerachai@siamrx.com หรือ line id: @welovecivic




Custom Search
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  Civic Club Classifieds => ประกาศซื้อ-ขาย  |  ซื้อ-ขายอะไหล่ ขายรถยนตร์ และประชาสัมพันธ์แนะนำธุรกิจ  |  หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้ 0 สมาชิก และ 15 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 [2] 3 4 5 ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้  (อ่าน 40055 ครั้ง)
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #40 เมื่อ: 14 กันยายน 2015, 11:38:12 »

 นายอุดมกล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องติดไว้ที่รถยนต์ใหม่ทุกคัน
ก่อนส่งรถยนต์คันนั้นไปยังผู้จำหน่ายรถยนต์ในเครือข่ายหรือดีลเลอร์ (Dealer) หรือสถานที่จัดแสดงรถยนต์
หรือสถานที่จำหน่ายรถยนต์ อย่างไรก็ตามจะยกเว้นให้กับรถยนต์ตกรุ่นหรือรถยนต์ค้างสต๊อก หมายถึงรถยนต์รุ่นที่ผลิตในประเทศได้
ยุติสายการผลิต หรือรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 58 ไม่จำเป็นต้องติด

     ป้ายแสดงข้อมูลอีโคสติ๊กเกอร์จะประกอบด้วยข้อมูลคุณลักษณะ คุณสมบัติ และสมรรถนะของรถยนต์ตามมาตรฐานสากลของ
สหประชาชาติ (United Nation-UN) ได้รับการตรวจสอบและรับรองโดยประเทศภาคีสมาชิก UN WP29
และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม


ดังนั้น เมื่อเห็นอีโคสติ๊กเกอร์ ติดบนรถยนต์คันที่ซื้อ ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ารถยนต์คันนั้นไม่ใช่รถยนต์ตกรุ่นหรือรถยนต์ค้างสต๊อก
อีกทั้งยังมั่นใจได้ว่าสมรรถนะต่างๆ ของรถยนต์ที่ปรากฏบนอีโคสติ๊กเกอร์ เช่น อัตราการใช้น้ำมันอ้างอิง (หน่วย ลิตรต่อ 100 กม.)
และระดับความปลอดภัยของรถยนต์ ได้แก่ มาตรฐานการปกป้องผู้โดยสารในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าของตัวรถ
มาตรฐานการปกป้องผู้โดยสารในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านข้าง และมาตรฐานด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ
 (Active Safety) เป็นต้น ได้รับการตรวจสอบและรับรองโดยหน่วยงานมีความน่าเชื่อถือ

     นายอุดมกล่าวว่า นอกจากนี้เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปในการเข้าถึงการแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล
ตามแนวทางประกาศฉบับนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้กำหนดเปิดตัวเว็บไซต์ www.car.go.th
ในช่วงเดือนธันวาคมนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอีโคสติ๊กเกอร์ รายละเอียดและสมรรถนะจริงของรถยนต์แต่ละคันให้กับ
ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป รวมถึงการแสดงข้อมูลอัตราการใช้น้ำมันแท้จริงของรถยนต์แต่ละรุ่นที่อยู่บนมาตรฐานเดียวกัน
สามารถนำไปเปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ได้


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #41 เมื่อ: 17 กันยายน 2015, 16:09:22 »

รถวิ่งอืด กินน้ำมัน ไส้กรองตัน! คุณแก้ได้

ไส้กรองอากาศ (Air Filter) มีหน้าที่สำคัญในการดักฝุ่นละอองจากอากาศไม่ให้เข้าไปในห้องเครื่อง
อากาศที่สะอาดจะทำให้กระบวนการสันดาปของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ หากมีฝุ่นละอองเข้าไปในห้องเครื่อง
จะทำให้รถคุณวิ่งช้าลงเนื่องจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ และอายุการใช้งานเครื่องยนต์สั้นลง

เราควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก 10,000 กิโลเมตร หรือควรถอดออกมาทำความสะอาด ทุกๆ 2,000-5,000 กิโลเมตร
โดยขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น ถ้าขับรถยนต์อยู่ในเมืองเป็นประจำ หรือใช้งานในเส้นทางที่มีฝุ่นมาก
ก็ควรทำความสะอาดบ่อยครั้งกว่า เรามีวิธีทำความสะอาด และเปลี่ยนในแบบง่ายๆที่คุณเองก็ทำได้



วิธีทำความสะอาดไส้กรองอากาศ

เปิดฝากระโปงรถ
แกะคริปที่ฝาครอบกรองอากาศ
แกะฝาครอบกลองอากาศออก (ฝาไส้กรองอากาศจะอยู่ด้านบนของเครื่องยนต์ ซ้าย – ขวา แล้วแต่รุ่นรถ)
ค่อยๆใช้มือจับไส้กรองดึงออกมา
เป่าฝุ่นไส้กรองอากาศจากด้านในออกไปด้านนอก จนกว่าไม่เห็นละอองฝุ่น
ใส่ไส้กรองอากาศกลับเข้าที่เดิม


ขั้นตอนเปลี่ยนไส้กรองอากาศ

เตรียมไส้กรองอากาศใหม่ (ตามรุ่นรถที่ใช้)
เปิดฝากระโปรงรถออก
แกะคริปที่ฝาครอบกรองอากาศ
แกะฝาครอบกลองอากาศออก
ดึงไส้กรองอากาศเก่าออกมา (สังเกตแผ่นกรองอากาศ มีคราบสกปรกหนาแน่น)
นำไส้กรองอากาศใหม่มาใส่แทน
ปิดฝาครอบ (เสร็จสิ้นขั้นตอน)
เพียงคุณทำตามขั้นตอนที่แนะนำ รถที่เจอปัญหาวิ่งอืดและกินน้ำมันจะหายไป อย่าลืมว่าอุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์มี
อายุการใช้งานต้องบำรุงรักษา หากปล่อยปะละเลยคุณอาจต้องเสีย ค่าซ่อม ค่าอะไหล่ แพงกว่าเดิมคิดแล้วได้ไม่คุ้มเสีย

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #42 เมื่อ: 22 กันยายน 2015, 15:37:08 »

 ขั้นตอนการถ่ายน้ำมันเกียร์ออโต้

1.    เตรียมน้ำมันเกียร์ ออโต้ ต้องเป็นสเปคเดิมเท่านั้น ลองเช็กที่ (คู่มือรถ)
2.    ใช้แม่แรงยกรถให้เอียงเล็กน้อย จะทำให้น้ำมันเกียร์ถ่ายออกมามากขึ้น
3.    ภาชนะที่รองรับน้ำมันเกียร์ (ควรหาแกลลอนที่มีตัวเลข บอกปริมาณน้ำมันที่ถ่ายออกมาได้) เพราะต้องใส่น้ำมันเกียร์ของใหม่กลับไปเท่าของเดิม
4.    ไขน็อตออกใช้ประแจเบอร์ 14
5.    รอน้ำมันเกียร์ไหลออก จากนั้นไขน็อตกลับเข้าที่เดิม
6.    เติมน้ำมันเกียร์ ในปริมาณที่เท่ากับน้ำมันเก่าที่ถ่ายออกมา

     คำเตือน : หากไม่ใช้น้ำมันเกียร์เหมือนสเปคเดิมจะไปสร้างปัญหาให้กับระบบเกียร์ของคุณ เพราะหากน้ำมันเกียร์ไม่สามารถเข้ากับน้ำมันเก่าได้ อาจเกิดปัญหาถึงขั้นเกียร์พังได้

 
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #43 เมื่อ: 30 กันยายน 2015, 15:58:21 »

แก้ปัญหารถเก่า ข้อเสนอที่ต้องรอบคอบ

ถือเป็นช่องว่างของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ยังหาทางแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีไม่ได้ สำหรับการจัดการปัญหารถเก่าหมดสภาพที่ยังคงวิ่งอยู่บนท้องถนนในปัจจุบันนี้

ที่ผ่านมาในช่วง 1-2 ปี ก่อนหน้านี้เคยมีผู้นำเสนอโครงการจำกัดอายุการใช้งานรถยนต์ อาทิ รถยนต์ที่มีอายุเกิน 7-10 ปี ห้ามนำเข้ามาวิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ หากนำเข้ามาวิ่งจะต้องเสียภาษีเทียบเท่ารถใหม่ แต่เรื่องราวดังกล่าวดูเหมือนจะเงียบหายไป จนล่าสุดมีผู้มองเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและมีแนวคิดในการแก้ไขให้เป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ มีการมองแบบตั้งความหวังกันว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาจัดการปัญหาดังกล่าวได้อย่างจริงจัง ด้วยความเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจการปกครองแบบพิเศษ พร้อมแนวทางการวางรากฐานที่ต้องการปฏิรูปประเทศให้มีความมั่นคงในระยะยาว

ขณะที่มาตรการควบคุมรถยนต์เก่านั้นจะช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์เกิดความหมุนเวียนได้อย่างสมดุล รวมถึงการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) อีกด้วย ซึ่งผู้ที่มองเห็นปัญหาดังกล่าวนั้นอยากให้รัฐบาลลองพิจารณาการปรับอัตราการเก็บภาษีรถยนต์เก่าให้สูงขึ้น พร้อมทั้งออกมาตรการสนับสนุนให้ผู้ที่นำรถยนต์เก่าเปลี่ยนเป็นรถยนต์ใหม่เพื่อให้เป็นระบบสอดรับกัน.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/390488


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #44 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2015, 16:05:07 »

ปิดจ๊อบ "รถคันแรก" คาดตลาดยังซึมต่ออีก 1 ปี

ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก 1 แสนบาท หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ปิดโครงการไปเมื่อ
วันที่ 30 ก.ย. 2558 เพื่อให้สามารถตัดยอดปิดงบประมาณที่คั่งค้างกันมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2554
ได้ โดยครั้งนั้น ครม.ได้อนุมัติหลักการและแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์
ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554-31 ธ.ค. 2555 เพื่อเป็นการเดินตามนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้หาเสียงไว้
แต่ช่วงปลายปี 2554 เกิดอุทกภัยใหญ่ทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ทันวันสิ้นสุดโครงการ จึงได้มีการต่ออายุโครงการดังกล่าวออกไป

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมสรรพสามิต ระบุถึงข้อมูลโครงการรถยนต์คันแรกจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2558 ว่า ตั้งแต่ดำเนินโครงการมี
ผู้ได้รับสิทธิทั้งสิ้น 1,234,986 ราย คิดเป็นเงิน 91,140 ล้านบาท จากจำนวนผู้ขอใช้สิทธิทั้งสิ้น 1,259,113 ราย
คิดเป็นเงิน 92,812 ล้านบาท โดยมีการส่งมอบรถยนต์แล้ว 1,123,451 ราย และเหลือผู้ยังไม่รับมอบรถยนต์อีก 111,535 ราย
หรือ 9.03% ของจำนวนผู้ได้รับสิทธิ

อย่างไรก็ตาม ได้มีการทำแบบสำรวจโดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 10,289 ราย มีผู้ไม่ประสงค์ขอใช้สิทธิ 7,620 ราย
ซึ่งระยะหลังมีผู้ยื่นขอใช้สิทธิยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมลดจำนวนลง จึงสมควรกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับมอบรถยนต์....

อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/391464


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #45 เมื่อ: 05 ตุลาคม 2015, 16:19:56 »

รถนำเข้าอิสระหนาว กรมศุลฯเมินข้อเสนอ

สมาคมฯ เกรย์มาร์เก็ตสยอง กรมศุลฯ เมิน หนังสือยื่นขอทบทวนปรับภาษีนำเข้ารถ

นายอภิชาติ สมรพิทักษ์กุล กรรมการบริหารบริษัท เอเอ็มจีออโต้ ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ (เกรย์มาร์เก็ต) ในฐานะนายกสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่าย
รถยนต์ใหม่ เปิดเผยว่า ภายหลังเข้ายื่นหนังสือถึง นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากรเพื่อให้ทบทวนปรับโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์
นำเข้าในปัจจุบัน แต่ไม่มีการตอบรับ หรือพิจารณาใดๆ ท่าทีดังกล่าวอาจกระทบเกรย์มาร์เก็ตอย่างรุนแรงทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวได้ระบุถึง การขอ
พิจารณาปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ให้ลงอยู่ในระดับเริ่มต้นที่ 100% และสูงสุดที่ 200% จากปัจจุบันเริ่มต้นที่ 187% และสูงสุดที่ 300%
 รวมถึงวิธีคำนวณภาษีใหม่ให้สอดคล้องกับปัจจุบัน พร้อมเวลามีผลบังคับใช้ให้เหมาะสมอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกฎข้อบังคับจัดเก็บภาษีรถยนต์
นำเข้าเป็นการคิดในลักษณะเดียวกับเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่เหมาะกับปัจจุบัน

นอกจากนั้น สมาคมฯ มองว่าเกรย์มาร์เก็ตโดนแข่งขันไม่เป็นธรรมกับบริษัทนำเข้าเป็นทางการที่ใช้สิทธิอาเซียน ไม่เสียภาษีนำเข้า 80%

น.ส.สุรีย์ภรณ์ อุดมผลวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ กล่าวว่า
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกรย์มาร์เก็ตจากการปรับวิธีคำนวณภาษีนำเข้ารถยนต์ใหม่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นราว 20%
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #46 เมื่อ: 08 ตุลาคม 2015, 16:58:57 »


รถแข่งดุส่งท้ายปี ผู้ผลิตอัดโปรโมชั่นดันยอด

ตลาดรถโค้งสุดท้ายคาดผู้ประกอบการโหมโปรโมชั่นฟื้นยอดขาย


นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ใน 3 ไตรมาสแรกของปียังไม่ดีเท่าที่ควร แต่เริ่มมีสัญญาณบวกจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา ส่งผลให้ทั้งปีคาดว่าตลาดจะติดลบลดลงเหลือ 12% จากปัจจุบันติดลบ 15% โดยเชื่อว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะใช้งานมหกรรมยานยนต์เป็นเวทีในการแข่งขันโปรโมชั่น เพื่อผลักดันยอดขายให้ถึงเป้าหมายในช่วงสุดท้ายของปี

สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ครั้งนี้คาดว่ารถกระบะจะมียอดขายดีขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ซื้อก่อนปรับราคาขึ้นประมาณ 5% จากการปรับภาษีรถยนต์ใหม่ที่จะมีผลในปี 2559 ส่วนเป้ายอดจองในงานตั้งไว้ที่ 5 หมื่นคัน สูงขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 42,254 คัน

นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย กล่าวถึงกรณีมาตรการกระตุ้นอสังหาริม ทรัพย์ยังไม่เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าจะส่งผลกระทบกับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 33 ที่จะเริ่มในวันที่ 8 ต.ค.นี้ เพราะขาดมาตรการมาช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่าน ครม. แต่ขั้นตอนประกาศจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน จะยิ่งทำให้เกิดการชะลอโอนเพื่อรอมาตรการ.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/392327
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #47 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2015, 15:10:04 »

5 เทคนิคขับรถประหยัดง่ายๆ เห็นผลทันตา ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม....
แม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันจะมีราคาถูกลงจนหลายคนยิ้มแก้มปริเวลาเติมน้ำมัน แต่ 5 เทคนิคขับรถประหยัดน้ำมันที่นำมาฝากในครั้งนี้ ก็จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าคุณเพิ่มขึ้นไปอีก แถมยังเริ่มได้ทันที ไม่ต้องซื้อน้ำยาหรืออุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำมันให้เสียเงินเปล่าอีกด้วย
5 เทคนิคขับรถประหยัดน้ำมันง่ายๆ มีดังนี้
1. ปรับอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม
เชื่อว่าผู้ขับขี่หลายคนใช้วิธีตั้งอุณหภูมิแอร์ให้เย็นจัดทิ้งไว้ แล้วปรับความแรงลมเพียงอย่างเดียว อากาศร้อนก็เปิดแรงหน่อย อากาศเย็นก็ปรับให้เบาลง ซึ่งวิธีนี้เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์จะฉุดกำลังเครื่องมากกว่าปกติ ทางที่ดีควรปรับอุณหภูมิแต่พอดีๆ ถ้าเป็นระบบดิจิตอลก็อาจปรับไว้ที่ 23-25 องศาก็น่าจะพอแล้ว (ยกเว้นถ้าอากาศร้อนจริงๆก็ไม่เป็นไร)

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #48 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2015, 14:38:19 »


2. ใส่เกียร์ว่างเมื่อรถติด
ข้อนี้เหมาะมากถ้าต้องขับรถผ่านเส้นทางที่รถติดเป็นประจำ หากรถติดมากๆ ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย ให้ใช้วิธีเข้าเกียร์ว่าง (N) แทนที่จะเข้าเกียร์เดินหน้า (D) ทิ้งไว้ ซึ่งวิธีเราเคยทดลองให้ดูกันไปแล้ว ช่วยเซฟน้ำมันได้เห็นๆเลยทีเดียว แถมไม่ต้องเมื่อยขาเนื่องจากต้องคอยเหยียบเบรกค้างไว้ด้วย
3. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้ตรงตามกำหนด
รู้หรือไม่ว่า รถที่เพิ่งเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องนั้น จะมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่ารถที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นระยะเวลานานๆ ดังนั้น เจ้าของรถจึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร แม้ว่าจะพ้นระยะรับประกัน 1 แสนกิโลเมตรแล้วก็ตามครับ
4. ออกตัวไม่ต้องรีบ
ช่วงเวลาที่รถจะกินน้ำมันมากที่สุด ก็คือขณะเร่งเครื่องนั้นเอง ยิ่งเหยียบคันเร่งมาก ก็จะยิ่งกินน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเร่งออกตัวด้วยความเร็วแต่พอดี ไม่ต้องรีบจี้ตามคันหน้าหรอกครับ ซึ่งโดยปกติการเร่งเครื่องให้เกียร์ตัดที่ความเร็วรอบประมาณ 2,000 - 2,500 รอบต่อนาที ก็เพียงพอกับการขับขี่โดยทั่วไปแล้ว
5. ใช้ความเร็วที่เหมาะสม
การขับขี่เป็นระยะทางไกลๆ อย่างการขับขี่ออกต่างจังหวัดนั้น ความเร็วมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอย่างเห็นได้ชัด หากใช้ความเร็วสูง ก็จะกินน้ำมันมากขึ้น ในทางกลับกัน หากใช้ความเร็วต่ำเกินไป ก็อาจส่งผลให้กินน้ำมันด้วยเช่นกัน เนื่องจากเกียร์ไม่ถูกตัดไปยังเกียร์สูงสุดนั่นเอง ดังนั้น หากไม่เร่งรีบนัก ก็ให้ใช้ความเร็วคงที่ประมาณ 90-110 กม./ชม. ก็จะช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกทางหนึ่งครับ
นี่แหละครับเทคนิคประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆที่เรานำมาฝากกัน ลองฝึกปฏิบัติให้กลายเป็นนิสัย รับรองว่าช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นแน่นอนครับ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #49 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2015, 11:49:29 »

ตรวจเช็ก “โช้คอัพ” รถยนต์ให้เกาะถนน

“โช้คอัพ” เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ คอยหน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของช่วงล่าง-ตัวถัง ช่วยการทรงตัวของรถยนต์ และดูดซับการสั่นของสปริงทำให้การรถเด้ง ขึ้น-ลง ของรถยนต์เป็นไปอย่างนุ่มนวล ลองมาดูกันว่าโช้คอัพที่คุณใช้เป็นแบบไหน และอาการรถเช่นไรถึงต้องเปลี่ยนโช้คอัพ

 โช้คอัพมีอยู่ 2 ระบบ

     1.โช้คอัพระบบ “น้ำมัน”

     เป็นการทำงานด้วยระบบไฮดรอลิค ในขณะที่ทำงานน้ำมันไฮดรอลิคจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบ มีการควบคุมวาล์วอยู่ 3 ระดับ โดยการทำงานของวาล์วจังหวะแรก BLEED จะมีผลต่อการขับขี่โดยเฉพาะในอัตราความเร็วต่ำ ส่วนวาล์วควบคุมน้ำมันระดับที่สอง BLOW OFF จะควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ในอัตราความเร็วปกติ และวาล์วควบคุมน้ำมันระดับที่สาม ORIFICE วาล์วจะทำงานในขณะแกนโช้คเคลื่อนตัวในขณะที่รถใช้ความเร็วสูง

     2.โช้คอัพระบบ “แก๊ส”

     โช้คอัพแก๊สแรงดันต่ำ (LOW-PRESSURE GAS SHOCK ABSORBER) โช้คอัพแก๊สแบบนี้ จะมีลักษณะเหมือนโช้คอัพไฮดรอลิคทั่วๆไป แต่มีแก๊สไนโตรเจน (NITROGEN GAS) บรรจุเข้าไปส่วนบนของห้องน้ำมันสำรองแรงดันประมาณ 142 - 213 ปอนด์/ ตารางนิ้ว

     โช้คอัพแก๊สแรงดันสูง (HI-PRESSURE GAS SHOCK ABSORBER) มีลักษณะต่างจากโช้คอัพแรงดันต่ำคือ โครงสร้างภายในตัวของโช้คอัพจะมีน้ำมันเพียงห้องเดียวไม่มีห้องน้ำมันสำรอง ภายในกระบอกสูบจะบรรจุน้ำมันไฮดรอลิคไว้ด้านบน และจะอัดแก๊สไนโตรเจนไว้ด้านล่าง ประมาณ 284-427 ปอนด์/ ตารางนิ้ว

      อาการรถแบบไหนต้องเปลี่ยนโช้คอัพ
     1. ซีลน้ำมันโช้คอัพรั่ว (จะมีน้ำมันไหลออกมา)
     2. โช้คอัพ คด งอ ผิดรูปทรง
     3. รถเด้งกระด้างกว่าปกติ
     4. โช้คมีอาการโยนตัวมาก หลังจากตกหลุม
     5. โช้คอัพเสื่อมสภาพ (ใช้งานเกิน 100,000 กิโลเมตร หรือ 5 ปี)



     เรื่องโช้คอัพอาจดูซีเรียสแต่ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ โช้คทั้ง 2 แบบมี ข้อดี/ข้อเสีย แตกต่างกันไปรวมถึงงบประมาณค่าใช้จ่าย ปกติโช้คอัพรถยนต์ที่ติดมากับรถวิศวกรได้คำนวณออกแบบมาให้เหมาะกับลักษณะรถแต่ละรุ่นแล้ว หากไม่ได้เสียหายหรือหมดอายุการใช้งานก็ใช้โช้คเดิมนั่นแหละไม่ต้องเปลี่ยนใหม่

 
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #50 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2015, 14:26:20 »

หักปากกาเซียน ภาษีใหม่ไม่กระตุ้นซื้อรถ
ปิดฉากลงแล้วสำหรับงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 (มอเตอร์ เอ็กซ์โป) ที่ในปีนี้ยอดจองอาจไม่ได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถทำได้เพียง 39,125 หมื่นคัน สำหรับรถยนต์จากเป้าหมายที่วางไว้ที่ 5 หมื่นคัน หรือลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ยอดจองอยู่ที่ 42,254 คัน ส่วนยอดจองรถจักรยานยนต์อยู่ที่ 5,749 คัน หรือเพิ่มขึ้น 111.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 2,718 คัน ขณะที่ทั้งงานมีเม็ดเงินสะพัดรวมได้มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท มีผู้เข้าร่วมชมงานอยู่ที่ 1,476,936 คน เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,384,182 คน
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานบริษัท สื่อสากล ในฐานะผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 (มอเตอร์ เอ็กซ์โป) กล่าวว่า สาเหตุที่ยอดจองรถยนต์ภายในงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์มาจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการคาดการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ภายในงาน แต่เกิดการไม่รับจองภายในงานจึงทำให้ยอดไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/newspaper/business/404983
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #51 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2015, 15:24:01 »

“พี่ใหญ่“ ตบไฟเตือน หมายความว่าไง?
ช่วงนี้หลายคนชอบขับรถทางไกลเพื่อท่องเที่ยว หากใครมีเหตุจำเป็นต้องขับรถตอนกลางคืน และต้องขับเจอกับรถสิบล้อหรือรถพ่วงขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะขับตามหรือขับสวน หลายคันมักจะเจอสัญญาณไฟจากรถบรรทุกในรูปแบบต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีความหมาย ยานยนต์
"มติชน" จึงรวบรวมสัญลักษณ์การเปิดไฟในรูปแบบต่างๆ และความหมายมาฝากกัน ถือว่ามีประโยชน์มาก โดยเฉพาะหากคุณไม่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยทางด้านหน้าเพราะถูกบัง การดูจากสัญลักษณ์ไฟต่างๆ จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น ได้แก่
1.เปิดไฟเลี้ยวขวา แล้วไม่ได้ชะลอเพื่อเตรียมจะเลี้ยวขวา ต้องการบอกว่าอย่าเพิ่งแซง อาจจะมีรถสวนมาในระยะอันตราย หากเห็นสัญญาณไฟเลี้ยวขวา ให้ระมัดระวังมากๆ
2.เปิดไฟเลี้ยวซ้าย แล้วชิดลงไหล่ทาง กรณีนี้โดยมากจะพบบ่อยบนถนนสองเลน ต้องการบอกว่าไม่มีรถสวนมา หรือมีรถสวนแต่อาจจะอยู่ไกล ให้เราแซงไปทางขวา แต่เมื่อคุณจะเริ่มขึ้นแซง ก็ต้องดูจังหวะให้ดี เพราะบางครั้งรถที่กำลังสวนมาอาจวิ่งมาด้วยความเร็วสูง รถบรรทุกอาจกะระยะพลาดได้ รวมทั้งถ้าเขาเปิดไฟเลี้ยวซ้ายอยู่เลนปกติและชะลอความเร็ว แสดงว่ารถบรรทุกกำลังจะเลี้ยวซ้าย ก็ต้องดูให้ดีเช่นกันว่าจะแซงได้หรือไม่
3.เปิดไฟเลี้ยวซ้ายสลับขวาถี่ๆ หลายครั้งขับตามรถบรรทุก จะพบว่าคันเปิดไฟเลี้ยวสลับซ้ายขวา โดยมากจะเกิดขึ้นตอนรถบรรทุกคันหน้าเบรก เป็นการเตือนว่าเบรกกะทันหัน ที่สำคัญยังห้ามไม่ให้คุณแซงขึ้นหน้า เพราะอาจมีอุบัติเหตุข้างหน้า หรือมีด่านตรวจข้างหน้า
4.บีบแตร ขณะแซงขึ้นตีคู่ ไม่ต้องตกใจหรือมีอารมณ์โกรธ เพราะถือว่าเป็นการทักทายตามมารยาท เราอาจจะบีบแตรคืน 1 ที แสดงการขอบคุณ และเขาอาจจะบีบซ้ำมาอีกที แต่ก็ไม่ต้องบีบตอบแล้ว เพราะเป็นการทักทายเฉยๆ ขืนบีบแตรตอบกันไปมาไม่หยุด เดี๋ยวงานเข้า เพราะจากการทักทายจะกลายเป็นการท้าทาย
5.กรณีขับสวนกันแล้วเห็นกะพริบไฟ อาจจะทีเดียวหรือกะพริบต่อเนื่อง แสดงว่าข้างหน้ามีด่านตรวจ โดยมากด่านอยู่ด้านไหนจะบอกสัญญาณไฟเลี้ยวเป็นบริการเสริมเข้ามา เช่น ถ้าสวนรถบรรทุกแล้วเปิดไฟขวา หมายความว่าด่านอยู่ทางซ้ายเรา แต่ปัจจุบันมักจะกะพริบไฟ 1 ที เป็นอันรู้กันว่ามีด่านข้างหน้า เตรียมลดความเร็วปรึกษาข้อราชการจากพี่ตำรวจได้เลย
6.รถบรรทุกขับสวนมาดับแล้วเปิดไฟหน้า เตือนว่าอาจจะมีอุบัติเหตุด้านหน้าเรา ส่วนมากสัญญาณนี้จะถูกทำขึ้นในระยะไม่เกิน 500 เมตรจากจุดเกิดเหตุ ต้องระวังให้มาก หรืออาจจะกะพริบไฟ 3 ที ในเวลากลางวันเพื่อส่งสัญญาณก็เคยมี
7.รถบรรทุกคันที่ 2 ขับตามรถคันหน้าที่กำลังสวนมา แล้วคันที่ 2 กะพริบไฟ ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะหมายความว่าคันที่ 2 กำลังจะขอแซงคันหน้าที่กำลังสวนรถเรามา ถ้าเราเห็นแล้วเห็นว่าไม่สามารถหลบได้ ให้กะพริบไฟหรือบีบแตรตอบ เพื่อไม่ให้เขาออก แต่ถ้าคุณเห็นแล้วนิ่งเฉย ส่วนมาก "พี่ใหญ่" รถบรรทุกจะเบนหัวออกมาทันที หากเป็นเช่นนั้น คุณทำได้เพียงอย่างเดียวคือหลบให้เขาไปให้พ้น เหตุการณ์นี้ต้องระวังให้มาก
ที่มา : นสพ.มติชน
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #52 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2015, 16:04:00 »

ภาษีใหม่ซัดเกรย์มาร์เก็ตชะลอ
เกรย์มาร์เก็ตกระทบ 3 เด้ง ทั้งโครงสร้างภาษีใหม่ อัตราแลกเปลี่ยน ภาษีขายปลีก
นายสมศักดิ์ ศรีรัตนประภาส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบนซ์รามคำแหงกรุ๊ป (บีอาร์จี) ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ (เกรย์มาร์เก็ต) เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระในปีหน้าจะได้รับผลกระทบจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การปรับโครงสร้างภาษีใหม่ที่ส่งผลต่อการขึ้นราคา อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผันผวนสูง และการปรับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากราคาขายปลีก
ทั้งนี้ ยกตัวอย่างการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2559 คาดว่าจะส่งผลให้รถยนต์รุ่นโตโยต้า อัลฟาร์ด และโตโยต้า เวลไฟร์ เครื่องยนต์ไฮบริดจากประเทศญี่ปุ่นอาจปรับราคาขึ้นอย่างน้อย 2.5 แสนบาท/คัน แต่ก็มีรถที่ราคาปรับลงมาด้วยคือ ปอร์เช่ คาเยนน์ รุ่น เครื่องยนต์ดีเซลและไฮบริดที่เดิมมีการเสียภาษีนำเข้าสูงสุด 328% ลดลงเหลือ 240%
จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ตลาดรวมชะลอตัวลง ขณะที่บริษัทเองมียอดขายรวมบริษัท 11 เดือน ของปีนี้อยู่ที่ 420 คัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยทั้งปีนี้คาดว่าจะปิดตัวเลขอยู่ที่ 550 คัน เท่าปีก่อนเช่นกัน ซึ่งบริษัทได้เพิ่มความถี่จัดกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
posttoday 23 พฤศจิกายน 2558 เวลา 07:15 น..... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/401092
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #53 เมื่อ: 04 มกราคม 2016, 16:45:03 »

เมินผลิตรถตุนไม่คุ้มภาษีใหม่
ส.อ.ท.ยัน ผู้ผลิตรถไม่เร่งสต๊อกรถ รับภาษีใหม่ปีหน้า เหตุต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง 2-3%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ปี 2559 จะทำให้รถกระบะ รถพีพีวี และรถยนต์นั่งขนาดใหญ่มีราคาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2-3% เนื่องจากโครงสร้างของภาษีใหม่จะคิดจากราคาหน้าโรงงาน แต่การที่ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะผลิตเพื่อตุนให้ได้ราคาเดิมนั้นทำได้บางกรณี เพราะผู้ผลิตมีต้นทุนและต้องบริหารสต๊อกแตกต่างกัน แต่ ส่วนใหญ่จะต้องขายรถให้ได้ไม่เกิน 15 วัน
“การเร่งผลิตเพื่อตุนสต๊อกนั้น ทำได้แค่บางกรณีเท่านั้น อย่างในช่วงปลายปีอาจจะมีการตุนเล็กน้อยเพื่อนำไปขายในต้นปีหน้า ซึ่งจะบริหารกำไรได้ดีกว่า แต่จะไม่ตุนล่วงหน้าจำนวนมากเหมือนโครงการรถยนต์คันแรกที่บรรดาค่ายรถต่างๆ เร่งผลิตจำนวนมาก เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการขายในช่วงเวลานั้น” นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้าน นายธนวัฒน์ คุ้มสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญของโลก โดยในปี 2555 อยู่ที่อันดับ 9 มีกำลังการผลิต 2.4 ล้านคัน ปี 2557 ผลิตเกือบ 2 ล้านคัน ส่งออก 1.1 ล้านคัน ขายในประเทศ 8.81 แสนคัน ส่วนปีนี้ขายในประเทศอยู่ที่ 7.5-8 แสนคัน ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แต่ส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านคัน เนื่องจากความต้องการของยุโรปและสหรัฐอเมริกายังมีอยู่สูง
ทั้งนี้ สมาคมเตรียมจัดประชุม OICA GENERAL ASSEMBLY 2015 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปี 38 ประเทศ จัดขึ้นในไทย วันที่ 21-23 ต.ค.นี้ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศต่างๆ ซึ่งไฮไลต์การประชุม คือการบรรยายหัวข้อ The ASEAN region, its auto industry and free trade agreements การประชุมหัวข้อนี้จะมีสมาชิกร่วม 24 ประเทศ ส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำจากยุโรป เอเชีย และอเมริกา.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/393758
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #54 เมื่อ: 07 มกราคม 2016, 15:24:37 »

เทคนิคพ่วงสายแบตอย่างไรให้สตาร์ทติดชัวร์!

ปัญหาแบตเตอรี่หมดบางครั้งไม่ใช่เพราะแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วเท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะเผลอลืมเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งเอาไว้ นานๆเข้าก็ทำให้แบตเตอรี่หมดได้เหมือนกัน ยิ่งหากคุณผู้อ่านขับรถเดินทางไกลช่วงปีใหม่ 2559 นี้แล้วล่ะก็ ต้องจำเทคนิคพ่วงแบตเหล่านี้เอาไว้ให้ดีครับ

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตหมด?

     อาการแบตเตอรี่รถหมดนั้น สังเกตได้จาก 1.ระบบเซ็นทรัลล็อกไม่ทำงาน หรือทำงานช้ากว่าปกติ 2.เมื่อบิดกุญแจ (หรือกดปุ่มสตาร์ท) ไปที่ตำแหน่ง ON พบว่าไฟหน้าปัดหรี่กว่าปกติหรือไม่ติดเลย 3.เมื่อบิดสตาร์ทพบว่ามีเสียงดังแช๊ะถี่ๆออกมาจากห้องเครื่อง ไม่เหมือนกับเสียงสตาร์ทปกติ หรืออาจไม่มีเสียงใดๆเลย

     หากคุณเจออาการเหล่านี้ ฟันธงได้เลยว่า รถคุณจำเป็นต้องพ่วงแบตฯแน่นอนครับ

วิธีการพ่วงแบตเตอรี่มีดังนี้

     1.ก่อนอื่นเราจะต้องมีสายพ่วงแบตเสียก่อน หากซื้อเป็นอุปกรณ์ติดรถเอาไว้ก็ดี แม้ไม่ได้ใช้งานเอง แต่ก็อาจเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมถนนอื่นๆได้ยามจำเป็น และแน่นอนว่าจะต้องมีรถที่ใช้งานได้อยู่ด้วย เพื่อพ่วงแบตฯให้กับรถคันที่สตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

     2.นำสายแดงหนีบด้านหนึ่งเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่คันที่แบตหมด แล้วจึงหนีบเข้ากับขั้วบวกของรถคันที่แบตดี

     3.นำสายดำหนีบด้านหนึ่งเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่คันที่แบตดี แล้วจึงหนีบเข้ากับขั้วลบของคันที่แบตหมด (หรือหนีบกับหัวน็อตที่อยู่ในห้องเครื่องก็ได้)

     4.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคันให้หมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ระบบแอร์, เครื่องเสียง ฯลฯ

     5.สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตดีทิ้งไว้ อาจเร่งเครื่องเล็กน้อยหากพ่วงกับรถที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า เพราะกระแสไฟมีการกระชากรุนแรง

     6.สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตหมดตามปกติ เมื่อติดแล้วให้เร่งเครื่องประมาณ 2,000-3,000 รอบต่อนาที เพื่อปั่นกระแสไฟให้มากขึ้น ทำเช่นนี้ประมาณ 1 นาที แล้วจึงถอดสายแบต

วิธีถอดสายพ่วงแบตที่ถูกต้อง

     ควรถอดสายพ่วงขั้วลบ (สีดำ) ของทั้งสองคันออกเสียก่อน แล้วจึงถอดสายขั้วบวก (สีแดง)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #55 เมื่อ: 13 มกราคม 2016, 16:16:10 »

หยุดด่วน! 5 พฤติกรรมอันตรายที่ทำร้ายรถคุณโดยไม่รู้ตัว
รถยนต์ 1 คัน เกิดจากการประกอบชิ้นส่วนมากมายเข้าไว้ด้วยกันจากโรงงานผู้ผลิต ซึ่งต่างก็ต้องการการดูแลรักษาด้วยกันทุกชิ้น เพื่อให้รถสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ปัญหาจุกจิกกวนใจ
แต่ก็ยังมีผู้ขับขี่อีกหลายคนที่มีพฤติกรรมทำร้ายรถ (โดยไม่ตั้งใจ) ที่แม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่อาจบั่นทอนอายุการใช้งานในระยะยาวอย่างแน่นอน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันครับ
1.ขับผ่านหลังเต่าโดยไม่ชะลอ
Speed Hump หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า 'หลังเต่า' เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ลดความเร็ว เนื่องจากเป็นที่ชุมชน หรือในที่ที่จำเป็นต้องขับอย่างระมัดระวัง แต่ก็มีผู้ขับขี่หลายคนขับผ่านหลังเต่าโดยไม่ชะลอความเร็วเท่าที่ควร (หรืออาจไม่แตะเบรกเลยด้วยซ้ำ) ซึ่งมีผลต่อระบบช่วงล่างโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นช็อคอัพ, สปริง, ลูกหมาก, ปีกนก, แร็ค, ยอยพวงมาลัย ฯลฯ ที่จะต้องรับแรงกระแทกมากกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงขณะขับผ่านทางขรุขระ, ฝาท่อ, คอสะพาน ฯลฯ หากใช้ความเร็วเหมาะสมเคลื่อนผ่านสิ่งเหล่านี้ ก็จะช่วยยืดระยะเวลาการเปลี่ยนชิ้นส่วนช่วงล่างได้เป็นอย่างดี
2.สตาร์ทรถไม่ปิดแอร์
แม้ว่ารถยนต์ในปัจจุบันจะตัดการทำงานของระบบไฟในรถ รวมถึงพัดลมแอร์ลงชั่วคราวขณะที่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่การเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้ จะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์เริ่มทำงานทันทีหลังจากเครื่องยนต์สตาร์ทติด ซึ่งเป็นช่วงที่รอบเครื่องยนต์พุ่งขึ้นสูง เนื่องจากต้องเพิ่มแรงดันน้ำมันไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้มีการกระชากของคอมเพรสเซอร์แอร์ ส่งผลให้มีอายุการใช้งานสั้นลง
3.จอดรถบนทางลาดชันเป็นประจำ
คนใช้รถเกียร์ออโต้จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจอดรถบนทางลาดชันด้วยเกียร์ P จะทำให้รถไม่ไหล แต่รู้ไหมว่าชิ้นส่วนที่ต้องรับภาระน้ำหนักรถก็คือสลักล็อคเกียร์ชิ้นเล็กๆเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าหากจอดรถบนทางชัน เมื่อดึงคันเกียร์จากตำแหน่ง P มาเป็นเกียร์ R จะมีเสียงดัง กึก ออกมาจากชุดเกียร์ ซึ่งเกิดจากการขัดกันของสลักอย่างรุนแรงนั่นเอง
ทางที่ดีหากจำเป็นต้องจอดรถบนทางลาดชัน ให้จอดรถจนนิ่งสนิทเรียบร้อย แล้วจึงดึงเบรกมือขึ้นจนสุดก่อนเท้าจะปล่อยแป้นเบรก จากนั้นค่อยๆปล่อยเบรกเพื่อให้แน่ใจว่ารถไม่ไหลแล้ว จึงค่อยเหยียบเบรกอีกครั้งแล้วใส่เกียร์ P เป็นอันจบขั้นตอนบำรุงรักษาเกียร์แบบง่ายๆ ที่ควรทำให้เป็นนิสัย
4.เร่งเครื่องรุนแรงขณะเครื่องยนต์เย็น
โดยปกติแล้วหากเครื่องยนต์ดับลง น้ำมันเครื่องจะไหลลงไปรวมกันในอ่างน้ำมันเครื่องด้านล่าง ดังนั้น เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ตอนเช้าๆ รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นสูงกว่าปกติ เพื่อให้น้ำมันเครื่องขึ้นไปหล่อลื่นตามชิ้นส่วนต่างๆในห้องเครื่องได้อย่างทั่วถึง
ดังนั้น หากเพิ่งสตาร์ทรถใหม่ๆ จึงไม่ควรเร่งเครื่องอย่างรุนแรงในทันที เพราะจะทำให้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติ
5.คิกดาวน์บ่อยพังทั้งเครื่องทั้งเกียร์
การ 'คิกดาวน์' ก็คือการเพิ่มความเร็วด้วยการกดคันเร่งจนมีการทดอัตราเกียร์ต่ำลง (เช่น เกียร์ 4 ไปเกียร์ 3) ซึ่งจะช่วยเรียกพละกำลังของรถให้เพิ่มมากขึ้น ใช้สำหรับการเร่งแซง หรือจังหวะที่ต้องเพิ่มความเร็วแบบทันทีทันใด แต่บรรดาขาซิ่งใจร้อนที่ชอบคิกดาวน์บ่อยๆ รู้หรือไม่ว่านั่นทำให้เกียร์อัตโนมัติกลับบ้านเก่าเร็วกว่าปกติ
เนื่องจากการคิกดาวน์จะทำให้มีการสลับเฟืองเกียร์ด้วยแรงบิดที่สูงกว่าปกติ ก่อให้เกิดอาการเกียร์กระชาก ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดความเสียหายต่อชุดเกียร์ได้มากขึ้น แม้แต่เกียร์ระบบ CVT ที่ใช้สายพานเป็นชุดขับเคลื่อนก็เช่นกัน ดังนั้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องคิดดาวน์บ่อยๆ แถมยังช่วยรักษาเครื่องยนต์และประหยัดน้ำมันขึ้นด้วย
รู้แบบนี้แล้วเราหันกลับมาดูแลรถที่เรารักกันเถอะครับ
http://auto.sanook.com/48323/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #56 เมื่อ: 18 มกราคม 2016, 16:21:57 »

ค่ายรถผวาศก.โลกป่วน เร่งปรับตัวลดความเสี่ยง
เศรษฐกิจโลกและในประเทศไทยที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาถึงในปีนี้แค่เริ่มต้นปีมาเพียงไม่กี่วันทั่วโลกก็ปั่นป่วนจากสถานการณ์ตลาดหุ้นและการลดค่าเงินหยวนของจีน
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลกระทบในวงกว้างเนื่องด้วยจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและในประเทศไทยก็คืออุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเกิดอาการผันผวนและมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงไปอีกจากจีนที่กำลังประสบปัญหา แน่นอนว่าฐานการผลิตในประเทศไทยย่อมได้รับผลกระทบตามมาอย่างแน่นอนขณะที่เศรษฐกิจในประเทศไทยในปีนี้ แม้รัฐบาลได้ออกมาประกาศว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศปีนี้จะขยายตัวดีขึ้น แต่ก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้เนื่องจากกำลังซื้อในระดับกลาง-ล่างก็ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องมีการตั้งรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
เนื่องจากกำลังซื้อในระดับกลาง-ล่างก็ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องมีการตั้งรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/409594
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #57 เมื่อ: 19 มกราคม 2016, 14:50:41 »

รู้ยัง? ...เราควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไหร่

คอลัมน์ คาร์ทิปส์/มติชนรายวัน 16 มกราคม 2559

     เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่ไม่ค่อยลงมือกระทำ ทั้งที่ระบบเบรกคือส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนทุกรูปแบบของผู้ใช้รถ การทำงานที่สมบูรณ์แบบของระบบเบรกที่สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วและแม่นยำต่อความต้องการของผู้ขับขี่ ไม่ว่าชะลอหรือหยุดรถกะทันหัน โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติเหตุจากการเฉี่ยวชนที่ก่อให้เกิดอันตรายให้เหลือน้อยที่สุด ยานยนต์ "มติชน" ขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบเบรกในรถยนต์

ระบบเบรกรถยนต์ในปัจจุบันเป็นแบบไฮโดรลิก แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ

     1.ดรัมเบรก (Drum Brake)

     ดรัมเบรกจะติดตั้งแน่นกับลูกล้อ เบรกจะทำงานเมื่อมีการถ่างก้ามเบรกให้เสียดสีกับตัวเบรก ดรัมเบรกจะทำให้ล้อหยุด ดรัมเบรกใช้มากในรถบรรทุก ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก รวมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลบางรุ่น รถบางรุ่นอาจใช้ระบบนี้เฉพาะล้อหลัง

     ข้อดี มีความสามารถในการหยุดรถได้เร็ว เพราะก้ามเบรกและดรัมเบรกถูกยึดติดกับดุมล้อ เมื่อเหยียบเบรก คนขับใช้แรงกดดันเบรกน้อย รถบางรุ่นไม่จำเป็นต้องใช้หม้อลมเบรกช่วยในการเบรก

     ข้อเสีย ความร้อนเกิดจากการเสียดสี ระหว่างผ้าเบรกในดรัมเบรกนั้นไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี บางครั้งทำให้ผ้าเบรกมีอุณหภูมิสูงมาก มีผลทำให้ประสิทธิภาพการเบรกลดลง

 

     2.ดิสก์เบรก (Disc Brake)

     เป็นระบบเบรกระบบใหม่นิยมกันมาก เบรกจะทำงานโดยดันผ้าเบรกให้สัมผัสกับจานเบรกเพื่อให้รถหยุด รถยนต์บางรุ่นใช้ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ บางรุ่นใช้เฉพาะล้อหน้า

     ข้อดี ลดอาการเฟด (เบรกหาย) เนื่องจากอากาศถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่าดรัมเบรก นอกจากนั้นเมื่อเบรกเปียกน้ำผ้าเบรกจะสลัดน้ำออกจากระบบได้ดี ในขณะที่ดรัมเบรกน้ำจะขังอยู่ภายใน และใช้เวลาถ่ายเทค่อนข้างช้า

     ข้อเสีย ไม่มีระบบเซอร์โว แอ๊กชั่น (Servo action) หรือมัลติพลายอิ้ง แอ๊กชั่น (multiplying action) เหมือนกับดรัมเบรก ผู้ขับจึงต้องออกแรงมากกว่า จึงต้องใช้ระบบเพิ่มกำลัง เพื่อเป็นการผ่อนแรงขณะเหยียบเบรก ทำให้ระบบดิสก์เบรกมีราคาค่อนข้างแพงกว่าดรัมเบรก

 

     เราควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไหร่?

     - เปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อผ้าเบรกมีความหนาน้อยกว่า 4 มม. และก้ามเบรกมีผ้าเบรกน้อยกว่า 1 มม. หรือผ้าเบรกเหลือน้อยกว่า 30%

     - เปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อมีคราบน้ำมันหรือจาระบีมากผิดปกติ

     - เปลี่ยนผ้าเบรกทันทีที่เห็นรอยร้าวบนดิสก์เบรกหรือก้ามเบรก

     - เปลี่ยนผ้าเบรกทุกๆ 25,000 กม. ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับและการใช้เบรกหากบรรทุกของหนักและขับรถด้วยความเร็วสูง อายุผ้าเบรกอาจจะสั้นกว่า หากเป็นผ้าเบรกที่มีส่วนผสมของโลหะสูง อายุของผ้าเบรกจะยาวกว่าผ้า

     เบรกเกรดที่มีส่วนผสมของโลหะต่ำ หรือผ้าเบรกเกรดโรงงานผลิตรถยนต์ (OEM) หากเบรกแล้วมีเสียงคล้ายเหล็กครูด เสียดสีกันอาจเกิดจากคลิปผ้าเบรกครูดกับจานเบรก เป็นสัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรกได้ สิ่งผิดปกตินี้อาจจะไม่ได้เกิดจากผ้าเบรกหมดเสมอไป จึงควรให้ช่างตรวจดูความผิดปกติอื่นๆ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #58 เมื่อ: 26 มกราคม 2016, 16:36:23 »

รถมือสองปลุกตลาดเช่าซื้อ

รถป้ายแดงขยับราคาหนุนคนหันซื้อมือสองเพิ่ม เช่าซื้อเริ่มให้กู้ โดยเฉพาะปิกอัพ

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการรถยนต์มือ 2 หรือเต็นท์รถเริ่มเข้าประมูลรถเก่าเก็บไว้ในสต๊อกมากขึ้นหลังจากที่ค่ายรถยนต์ปรับขึ้นราคาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตามโครงสร้างภาษีใหม่ ทำให้ราคารถเก่าเพิ่มขึ้น 23-28%จากที่ก่อนหน้านี้ราคาลดลงประมาณ 30-35% ผลจากโครงการรถคันแรก โดยรถยนต์เก่าที่ราคาดียังเป็นรถปิกอัพที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมทั้งรถยนต์เก่าขนาด 2,000 ซีซีขึ้นไป ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะรถยนต์ใหม่มีราคาแพงมากเป็นล้านขึ้นไป แต่รถยนต์มือ 2 จะอยู่ที่ 5-6 แสนบาท

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์เก่าในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.75% ซึ่งไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมานานแล้ว ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลทรงตัวที่ 3% กว่าจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวสูงขึ้นจากภาระหนี้ครัวเรือนที่มากขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลงแต่สถาบันการเงินในแต่ละแห่งได้เข้าไปช่วยเหลือด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ หรือยึดระยะเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้เป็นรายกรณี

"การวางเงินดาวน์รถยนต์ใหม่ในปัจจุบันอยู่ที่ 20-25% โดยดูความเสี่ยงของลูกค้าเป็นหลัก และเชื่อว่าการซื้อรถยนต์ของลูกค้าช่วงนี้เป็นความต้องการที่แท้จริงไม่ใช่เป็นการจองและทิ้งรถเหมือนที่ผ่านมาโดยผู้มาดูรถยนต์ในโชว์รูมจะซื้อจริงประมาณ 95% ส่วนยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น 5-7% เพราะลูกหนี้มีภาระหนี้มากเกินไป” นายอนุชาติ กล่าว

นายไพรัตน์ สกุลศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พ.สามพราน กรุ๊ป ผู้ประกอบการจำหน่ายรถยนต์มือ 2 กล่าวว่า สถาบันการเงินและบริษัทไฟแนนซ์ได้กลับมาพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ให้ลูกค้าที่เคยมีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดีมากขึ้น จากเดิมที่มีการคัดกรองลูกค้าและเข้มงวดการให้สินเชื่อ เนื่องจากราคารถยต์มือ2 เริ่มกลับมาดีขึ้น และการยึดรถยนต์มาขายไม่ได้ขาดทุนมากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการหันมาทำตลาดรถมือ 2 กัน

"ราคารถยนต์ที่ทรงตัวไม่ได้ผันผวน ทำให้การกำหนดราคามีทิศทางดีขึ้นและการปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามกลไกตลาด แตกต่างจากช่วงโครงการรถยนต์คันแรกที่เสียหายมากเพราะยึดรถมาแล้วขายขาดทุน" นายไพรัตน์ กล่าว

สำหรับบริษัทยังไม่มีการปรับราคารถยนต์ เพราะต้องการรักษาส่วนต่างราคาระหว่างรถใหม่และรถเก่าเพราะหากปรับราคารถเก่าเพิ่มขึ้นและผู้ซื้อเห็นว่าราคาไม่ได้ห่างกันมากนักอาจจะหันไปซื้อรถใหม่แทนอย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถาบันการเงินได้คัดเลือกตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เข้าร่วมโครงการปล่อยสินเชื่อรถสีขาวโดยรถที่ร่วมโครงการต้องไม่เคยมีอุบัติเหตุมาก่อนและรับประกันหลังการขาย ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วมโครงการนี้กับสถาบันการเงิน 2 แห่ง.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/412267
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #59 เมื่อ: 28 มกราคม 2016, 15:53:48 »

5 ของแถมสำคัญที่ต้องดูให้ดีก่อนเซ็นใบจองรถ
การซื้อรถสักหนึ่งคันสมัยนี้ สิ่งหนึ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ก็คือ 'ของแถม' ที่อาจช่วยทุ่นเงินในกระเป๋าสตางค์ของคุณได้ยามออกรถใหม่
ไม่ว่าจะคุณซื้อรถยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร ของแถมที่เซลส์ให้กับลูกค้ามักไม่ต่างกัน (ถ้าเป็นรถยุโรปก็อีกเรื่องนึง) แต่สิ่งสำคัญคือ คุณควรได้รับเฉพาะของที่มีคุณภาพ เพราะปกติดีลเลอร์จะกันวงเงินก้อนหนึ่ง เพื่อใช้สำหรับคนขายในการจัดของแถมให้ลูกค้าอยู่แล้ว
ดังนั้นเพื่อไม่ได้เป็นการถูกเอาเปรียบจากวงเงินก้อนนี้ จึงมาแนะนำ 5 ของแถมสำคัญเมื่อซื้อรถยนต์ ที่ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนเซ็นใบจองครับ
1.ประกันภัยรถยนต์
คุณควรตรวจเช็คชื่อเสียงของบริษัทประกันภัยแต่จะรายให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่มีปัญหาหากจำเป็นต้องเคลม เช็คให้ดีว่าบริษัทประกันภัยที่จะได้รับนั้น สามารถเข้าซ่อมที่ศูนย์ฯได้หรือไม่ หรือต้องใช้อู่นอกเท่านั้น และประกันครอบคลุมอู่ใกล้บ้านคุณมากน้อยแค่ไหน
2.ฟิล์มกรองแสง
เช็คให้ดีว่าไม่ได้รับฟิล์มโนเนม ราคาถูก ที่คุณภาพอาจสู้ยี่ห้อแพงๆไม่ได้ นอกจากนั้นยังควรดูเกรดและสีของฟิล์มให้ได้อย่างที่คุณต้องการ ความเข้มมากน้อยแค่ไหน สามารถใช้กับบัตรประเภทอีซี่พาสหรืออุปกรณ์นำทางได้หรือไม่ เป็นต้น
3.ชุดแต่งรอบคัน
สำหรับใครที่ชอบแต่งรถ ก็มักขอชุดแต่งรอบคันเป็นของแถม อาจจะต้องเพิ่มเงินบ้างก็ว่ากันไป ถ้าได้ของแท้ที่ผลิตจากโรงงานก็คงไม่มีปัญหา แต่หากเป็นชุดแต่งที่ผลิตจากร้านข้างนอก แล้วจึงมาประกอบที่ศูนย์อีกทีนั้น ควรเช็คคุณภาพของชิ้นงานแต่ละชิ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นชนิดของวัสดุ พื้นผิว สี ว่ามีคุณภาพมากน้อยขนาดไหน
4.เบาะหุ้มหนัง
รถยนต์หลายรุ่นในปัจจุบันยังคงเป็นเบาะผ้า โดยเฉพาะรุ่นล่างๆ ซึ่งหลายคนก็อยากเปลี่ยนเป็นเบาะหุ้มหนัง ถ้าหากได้รับเป็นของแถม หรือต้องเพิ่มเงินบ้างนิดหน่อย ก็ควรดูวัสดุหนังที่ใช้หุ้ม ลวดลาย การตัดเย็บ อาจขอเซลส์ดูจากรถคันอื่นๆที่ติดตั้งไปแล้วก็ได้ ถ้าถูกใจก็ค่อยตกลงกันอีกที
5.ของแถมจิปาถะอื่นๆ
ของแถมหลายชิ้นมักเป็นของที่มีราคาไม่แพง หาซื้อได้ตามร้านของแต่งทั่วไป แต่ถูกยัดใส่ใบจองเพื่อจะได้ดูเหมือนแถมเยอะ เช่น กันสาดประตู, สครัฟเพลท, ม่านบังแดด, พวงกุญแจ, ยางกันกระแทก, ที่ครอบมือจับประตู ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นสิ่งไม่จำเป็น อาจใช้วิธีไม่รับของแถมเหล่านี้ เพื่อต่อรองให้ได้สิ่งอื่นที่ดีกว่านี้ก็ได้
http://auto.sanook.com/40791/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #60 เมื่อ: 29 มกราคม 2016, 15:37:00 »

อยากขับรถเที่ยวให้สนุก! ต้องเช็ก 6 จุด ก่อนออกเดินทาง
ขนส่งทางบกเปิดโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 มอบความสุข ความสะดวก ความปลอดภัยให้คนไทยทั้งประเทศ ภายใต้แนวคิด "Drive Safe Be Safe อุบัติเหตุลดได้ แค่ไม่ขับเร็ว" คุมเข้ม!!!! ตรวจสอบสภาพรถและพนักงานขับรถ ไร้สารเสพติดและแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ 100% พร้อมเชิญชวนใช้บริการตรวจความพร้อมของรถ "กรมการขนส่งทางบก Everyday for Everyone ทุกๆ วัน เพื่อทุกคน" ตามถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังได้เเนะนำการตรวจสอบความปลอดภัยรถยนต์เบื้องต้น ในจุดสำคัญ ดังนี้
จุดที่ 1 เบรก : เบรกแล้วมีเสียง ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันที
จุดที่ 2 ไฟ : ควรตรวจทั้งไฟเบรกและไฟส่องสว่าง เมื่อพบความผิดปกติควรเปลี่ยนทันที เพื่อความปลอดภัย
จุดที่ 3 แบตเตอรี่ : ควรเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ไว้เสมอ
จุดที่ 4 ยาง : สภาพของยางและดอกยาง : ดอกยางควรมีความลึกไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร และกว้างไม่เกิน 6 มิลลิเมตร
จุดที่ 5 พวงมาลัย : ควรตรวจเกี่ยวกับการบังคับเลี้ยว ระบบศูนย์ควบคุมทิศทาง เพื่อการเลี้ยวและการทรงตัวของรถ
จุดที่ 6 น้ำมัน : ส่วนใหญ่เราจะดูแค่น้ำมันเครื่อง แต่เมื่อเดินทางไกล ควรดูทั้งน้ำมันเกียร์ น้ำมันพวงมาลัย น้ำมันคลัตช์ และน้ำมันเฟืองท้ายด้วย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น
http://auto.sanook.com/44989/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #61 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2016, 15:45:42 »

ดูแลรักษาแอร์รถยนต์ให้ถูกต้อง
ย่างเข้าสู่หน้าร้อน เครื่องปรับอากาศหรือแอร์รถยนต์ถึงคราวต้องทำงานหนักอีกแล้ว วิธีที่จะช่วยให้แอร์รถยนต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและใช้ งานได้นาน "มติชน" มีข้อแนะนำดังนี้
1. ก่อนจะสตาร์ตเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรตรวจดูสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ว่าอยู่ในลักษณะใด เปิดหรือปิด ถ้าหากเปิดอยู่ให้กดปิดเสียก่อนที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์ต้านทานการหมุนของเครื่องยนต์ในขณะสตาร์ต
2. หลังจากเครื่องยนต์ติดเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดสวิตช์พัดลมของเครื่องปรับอากาศก่อน โดยปรับไปที่ตำแหน่งความเร็วสูงสุด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที เพื่อไล่ลมร้อนจากช่องปรับอากาศ
หลังจากนั้น จึงเปิดสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ปรับสวิตช์ที่ใช้ปรับระดับความเย็นไปที่ตำแหน่งเย็นสุด แล้วจึงปรับสวิตช์ควบคุมความเร็วของพัดลมและสวิตช์ควบคุมระดับความเย็นลงสู่ ตำแหน่งที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารตามต้องการ
3. หลังจากเลิกใช้งานก่อนดับเครื่องยนต์ ควรปิดสวิตช์คอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ก่อน เพื่อหยุดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ แต่ยังคงเปิดสวิตช์พัดลมแอร์ไว้ในตำแหน่งที่แรงสุดเพื่อให้พัดลมแอร์เป่าลม ผ่านตัวคอยล์เย็น หรือตู้แอร์ จะมีสภาพเปียกชื้น และมีหยดน้ำมาเกาะอยู่ในขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน และเพื่อเป็นการไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นให้เร็วขึ้น
วิธีนี้ เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอับชื้น สาเหตุทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ รวมทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวคอยล์เย็นให้ผุกร่อนช้าลงกว่าเดิม ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น
สำหรับปัญหาการเกิดกลิ่นอับที่ออกมาจากช่องปรับอากาศ สามารถแก้ไขได้โดยจอดรถในที่โล่งแจ้ง แดดส่อง จากนั้น เปิดประตูรถให้หมดทุกบาน จอดรถตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่นอับจะจางหายไป
แต่ถ้ากลิ่นอับยังคงรุนแรงเหมือนเดิม ควรนำรถเข้าเช็กที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน
http://auto.sanook.com/13413/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #62 เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2016, 18:50:11 »

รถเกรย์มาร์เก็ตอ่วม ชี้ล่าช้ารัฐสูญรายได้
บีอาร์จีชี้เกรย์มาร์เก็ตชะลอหนัก หลังปรับโครงสร้างภาษีใหม่ ห่วงรัฐเสียรายได้
นายสมศักดิ์ ศรีรัตนประภาส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีอาร์จี กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ (เกรย์มาร์เก็ต) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเกรย์มาร์เก็ตหลังการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ที่คิดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) จะชะลอตัวอย่างหนัก เนื่องจากรถยนต์ที่ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระนำเข้ามานั้นมีปัญหาการตรวจค่า Co2 ไม่สอดคล้องกับข้อมูลและการตรวจสอบในต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการคิดคำนวนภาษีรวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบไม่เพียงพอทำให้ล่าช้า
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับแผนด้วยการจำหน่ายรถยนต์รุ่นที่มีอยู่ในสต๊อกก่อน และจะร่วมกับสมาคมผู้นำเข้ารถยนต์อิสระเพื่อเจรจาถึงวิธีการเพิ่มความรวดเร็วและความถูกต้องในขั้นตอนการตรวจสอบอีกครั้ง
“ที่ผ่านมารัฐบาลจัดเก็บภาษีจากผู้นำเข้ารถยนต์อิสระในการนำเข้ารถยนต์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท/เดือน ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเชื่อว่ารัฐบาลสูญเสียรายได้การจัดเก็บภาษีรถนำเข้า เนื่องจากขั้นตอนการตรวจสอบล่าช้าทำให้ไม่สามารถนำรถยนต์ออกมาขายได้”
ขณะที่ปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 550 คัน จากปีก่อนอยู่ที่ 523 คัน โดยยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว และมองว่าการแข่งขันในตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระจะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งด้านโปรโมชั่นและการแข่งขันด้านราคา.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/413426
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #63 เมื่อ: 01 มีนาคม 2016, 16:13:00 »

พีพีวี-เอสยูวีพุ่งเดี่ยวสวนตลาด ค่ายรถแห่เปิดตัวรุ่นใหม่ชิงเค้ก
เปิดปีวอกตลาดรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีคึกคักทันที เมื่อค่ายฮอนด้าได้แนะนำซับคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่ “บีอาร์-วี” สู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการ และในฐานะเป็นเซกเม้นท์ที่กำลังมาแรง จึงทำให้ค่ายรถอื่นๆ ไม่ยอมทิ้งโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หลายค่ายเตรียมเปิดตัวรถใหม่เพื่อชิงยอดจองอย่างดุเดือด ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016 ...
เปิดปีวอกตลาดรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีคึกคักทันที เมื่อค่ายฮอนด้าได้แนะนำซับคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่ “บีอาร์-วี” สู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการ และในฐานะเป็นเซกเม้นท์ที่กำลังมาแรง จึงทำให้ค่ายรถอื่นๆ ไม่ยอมทิ้งโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หลายค่ายเตรียมเปิดตัวรถใหม่เพื่อชิงยอดจองอย่างดุเดือด ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016 ...
อีซูซุจ่อส่ง ‘มิว-เอ็กซ์1.9 ดีดีไอ’ ลุย!
ส่วนความร้อนแรงของตลาดรถพีพีวี เป็นผลมาจากการเปิดตัวโฉมใหม่ใหม่ ทั้งแบบโมเดลเชนจ์และไมเนอร์เชนจ์เกือบทุกรุ่น ยกเว้นเพียง “อีซูซุ มิว-เอ็กซ์” ที่ยังไม่ขยับในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ตามรายงานข่าวตรีเพชร อีซูซุเซลส์ เตรียมเขย่าตลาดรถพีพีวี ด้วยการเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ของมิว-เอ็กซ์สู่ตลาดไทย และเป็นครั้งแรกในโลกตามสไตล์ของค่ายรถรายนี้ โดยจะแนะนำสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016 ปลายเดือนมีนาคมนี้
แน่นอนหัวใจหลักของมิว-เอ็กซ์ ใหม่ จะเน้นไปที่ขุมพลังใหม่เครื่องยนต์ดีเซล RZ4E-TC 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่เพิ่งเปิดตัวและนำมาวางครั้งแรกในโลกกับปิกอัพอีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ใหม่ 150 แรงม้า เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และมาทำตลาดแทนรุ่น 2.5 ลิตรเช่นเดียวกัน โดยมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 6 จังหวะ เพื่อทำตลาดคู่บล็อกเดิม 3.0 ลิตร 177 แรงม้า
ในส่วนของรูปลักษณ์หน้าตาภายนอก มีการแต่งหน้าทาปากใหม่แต่ไม่ได้เป็นการปรับโฉมใหม่หมด ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับปิกอัพดี-แมคซ์ที่เพิ่งเปิดตัวไป อาจจะแตกต่างในรายละเอียดเรื่องความหรูหรามากขึ้น รวมถึงภายในที่มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์อำนวความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเข้าไป พร้อมกับปรับราคาขึ้นตามภาษีใหม่ด้วย
โตโยต้าแลกหมัดรถอเนกประสงค์
ทางฝ่ายคู่แข่งสำคัญ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” แม้จะครองความเป็นผู้นำตลาดรถพีพีวีในปัจจุบัน เห็นได้จากยอดขายตลอดปีที่ผ่านมากว่า 3.1 หมื่นคัน และในเดือนมกราคมล่าสุดของปีนี้ทำไปทั้งหมด 2 พันคัน และตามด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต โฉมใหม่เกือบ 1.8 พันคัน แต่เมื่อคู่แข่งอีซูซุ มิว-เอ็กซ์เริ่มขยับ ทำให้เจ้าตลาดไม่สามารถนิ่งอยู่ได้
ตามรายงานข่าวช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จะทำการแนะนำรุ่นใหม่ของโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มรุ่นพิเศษมาเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้บริโภค และจะมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอุปกรณ์เข้าไปด้วย เพื่อเป็นการแลกหมัดกับอีซูซุ มิว-เอ็กซ์แบบไม่ยอมหลีกทางให้
นอกจากนี้โตโยต้ายังมีแผนจะแนะนำรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี “โตโยต้า อินโนวา” โฉมใหม่ ซึ่งเป็นรถที่พัฒนาบนพื้นตัวถังของปิกอัพ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ เช่นเดียวกับรุ่นฟอร์จูนเนอร์ เพียงแต่เอ็มพีวีรุ่นอินโนวาจะใช้โรงงานในประเทศอินโดนีเซียเป็นฐานการผลิต และนำเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นเดียวกับรุ่นปัจจุบัน
ซีเอ็กซ์-5 ใหม่, เอ็มจี จีเอส มาแล้ว
ขณะที่ตลาดรถเอสยูวีก็มีความร้อนแรงเช่นกัน ซึ่งนอกจากฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ที่นำร่องบุกตลาดซับคอมแพ็กต์เอสยูวีไปแล้ว ล่าสุดค่ายมาสด้าเตรียมส่งรุ่นปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ของ “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5” สู่ตลาดไทย โดยจุดสำคัญอยู่ที่การนำเทคโนโลยีทันสมัยมาติดตั้งในรถให้ครบถ้วนมากขึ้น นอกจากเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการออกแบบตามแนวคิดโคโดะ ดีไซน์
สำหรับเทคโนโลยีทันสมัยที่นำมาติดตั้งในมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ใหม่ ได้แก่ระบบไฟหน้า LED แบบอิสระ หรือแต่ละดวงจะปรับองศาอิสระตามการเลี้ยว หรือสิ่งกระทบข้างนั้นๆ ซึ่งเป็นอีกขั้นของเทคโนโลยีไฟหน้า ที่ไม่ใช่ปรับสูง-ต่ำ หรือองศาการเลี้ยวอัตโนมัติพร้อมกันทั่วไปเท่านั้น ระบบ MZD Connect เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่เชื่อมต่อโลกออนไลน์ หรือสมาร์ทโฟนได้ดีกว่าเดิม ตลอดจน i-Active Sense ระบบความปลอดภัยทันสมัยเทียบเท่ากับรถยุโรปสูงสุดถึง 8 รายการ
ในส่วนของรุ่นย่อยทำตลาดได้เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ระบขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเสริมตลาดเพิ่มจากเดิมที่จะมีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ วางจำหน่ายในราคาประมาณกว่า 1.5 ล้านบาท และถอดรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรออกจากการทำตลาด พร้อมกันนี้ได้ปรับราคาตามโครงสร้างภาษีใหม่ขึ้นประมาณ 2-3 หมื่นบาท
นอกจากนี้ตลาดคอมแพ็กต์เอสยูวียังมีคู่แข่งเพิ่ม เมื่อค่ายรถยนต์เอ็มจีเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ “เอ็มจี จีเอส” (MG GS) สู่ตลาดไทย ซึ่งถือเป็นรถเอสยูวีรุ่นแรกของค่ายรถรายนี้ โดยกำหนดจะเปิดตัวกับสื่อมวลชนในวันที่ 17 มีนาคมนี้ เพื่อวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016
ค่ายรถหรูส่งรุ่นใหม่ชิงยอดคึกคัก
ทางฟากค่ายรถหรูก็คึกคักไม่แพ้กัน เห็นได้จากเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive18d ใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 มาพร้อมเครื่องยนต์ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ดีเซล 4 สูบ รุ่นใหม่ล่าสุด 1,995 ซีซี 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic Sport 8 สปีด สู่ตลาดไทยในราคา 2.599 ล้านบาท
ล่าสุดวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้แนะนำรถรุ่นใหม่ “วอลโว่ วี40 ครอสคันทรี ดี4” หรือรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลมาเสริมทัพ จากเดิมก่อนหน้านี้จะมีเพียงรุ่นเบนซิน T5 แม้จะเป็นรถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู แต่ด้วยชื่อเรียกตระกูลครอสคันทรี และยังยกสูงกว่ารุ่นปกติของวี40 จึงถือเป็นกลุ่มครอสโอเวอร์ หรือเอสยูวีก็พอได้ โดยวางครื่องยนต์ D4 ดีเซล ทวินเทอร์โบ 190 แรงม้า ราคา 2.099 ล้านบาท
ส่วนทางค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมแนะนำเอสยูวีคันโตแบบฟูลไซส์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอส” หรือรุ่นปรับโฉมของ “จีแอล-คลาส” นั่นเอง เพื่อสื่อสารไปในทิศทางเดียวกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆ (GLA,GLC และ GLE) โดยจีแอลเอส ใหม่ หรือเอส-คลาสในแบบฉบับเอสยูวี จะมีทั้งความหรูและฟีเจอร์ภายในทุกอย่างเหมือนเอส-คลาส ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในระดับสูงสุด
ทั้งหมดเป็นความเคลื่อนไหวของค่ายรถ ในกลุ่มอเนกประสงค์แบบพีพีวีและเอสยูวี ที่เตรียมจะส่งทีเด็ดของตนเองออกมาชิงยอดขายที่กำลังเติบโตสวนตลาด และมีกระแสแรงในยุคดิจิตอลนี้ ส่วนใครจะถึงฝั่งฝันหรือไม่? ต้องติดตามกันยาวๆ...
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #64 เมื่อ: 08 มีนาคม 2016, 15:48:39 »

จริงดิ !? รถหายบุบกับน้ำร้อนหม้อเดียว ง่ายสุดแถมประหยัดเงิน
เด็ดสุดจนแชร์เพียบ รถหายบุบกับน้ำร้อนหม้อเดียว วิธีการง่าย ๆ ในการแก้ปัญหารถบุบที่กันชนรถ ไม่ต้องเปลืองตังค์ไปเข้าอู่แล้ว
เป็นคลิปสุดอะเมซิ่งที่ชาวเน็ตกระหน่ำแชร์อยู่ในขณะนี้ สำหรับกลเม็ดเคล็บลัดสุดแสนง่ายในการแก้ปัญหารอยบุบบนรถยนต์คันโปรด ด้วยการใช้น้ำร้อนเพียงหม้อเดียวเท่านั้น ทำได้ง่าย ๆ แถมไม่ต้องส่งรถไปซ่อมให้เปลืองสตางค์ ดังที่ คุณประกายเดือน ชูหอม สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบ ได้อัดคลิปสาธิตวิธีการใช้น้ำร้อนแก้ปํญหารถบุบให้ชาวเน็ตได้ชมกันเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2558
โดยเพียงแค่เตรียมน้ำร้อนมา 1 หม้อ
จับน้ำร้อน ๆ ราดลงไปบริเวณรอยบุบ
จนเมื่อกันชนรถจุดดังกล่าวได้รับความร้อนประมาณหนึ่งแล้ว ก็ใช้มือของเรานี่เองค่อย ๆ กดจนรอยบุบเด้งขึ้นมา
เพียงเท่านั้นกันชนรถของเราก็กลับมาสวยนิ๊งเหมือนเดิมแล้ว แม้จะยังเหลือรอยอยู่บ้างก็ตาม
อนึ่ง สำหรับผู้ที่สงสัยว่าเหตุใดเพียงใช้น้ำร้อนราดลงไปบริเวณที่เกิดรอยบุบ เราก็สามารถซ่อมรถได้ด้วยตัวเองแล้วนั้น ก็เป็นเพราะวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ทำกันชนจะเป็นพลาสติกที่พร้อมรับแรงกระแทก เมื่อถูกความร้อนก็จะสามารถคืนรูปทรงเดิมได้ โดยนอกจากวิธีใช้น้ำร้อนราดดังคลิปที่เห็นนี้แล้ว การนำไดร์เป่าผมพ่นลมร้อน ๆ ลงไปบริเวณดังกล่าว ก่อนใช้มือดันคืน ก็สามารถทำได้เช่นกัน
http://car.kapook.com/view129294.html
ภาพจาก คุณประกายเดือน ชูหอม สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #65 เมื่อ: 10 มีนาคม 2016, 14:10:42 »

วิธีตรวจเช็กสภาพรถยนต์เบื้องต้น ทำเองได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด
ตรวจสภาพรถ ให้พร้อมใช้ด้วยตนเอง รวมวิธีตรวจเช็กสภาพรถยนต์เบื้องต้น
ทุกวันนี้การเดินทางส่วนใหญ่จะใช้รถยนต์แทบทั้งสิ้น และยิ่งใครที่ต้องใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ ด้วยแล้วละก็ บทความนี้อาจเป็นความรู้ให้ไม่มากก็น้อย หรือบางคนอาจรู้แล้วก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีมือใหม่บางท่านที่อาจยังไม่ทราบก็ได้
สำหรับวิธีตรวจเช็กต่าง ๆ ที่นำมาเสนอในครั้งนี้ จะเป็นการตรวจเช็กแบบคร่าว ๆ ที่ทำได้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะได้รับรู้ทันท่วงที หากเกิดความผิดปกติขึ้น ก่อนที่มันจะลุกลามไปใหญ่โตจนทำให้เสียเงินเสียทองซ่อมบานตะไท และขอย้ำว่านี่ไม่ใช่แนวทางการซ่อม หากพบเจอปัญหาควรนำรถยนต์เข้าศูนย์ซ่อม หรืออู่ซ่อมรถยนต์ทันทีจะดีที่สุด
1.น้ำมันเครื่อง ดึงก้านน้ำมันเครื่องออกมาในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานจนถึงอุณหภูมิปกติแล้วดับสักครู่ (1-5นาที) จากนั้นเช็ดทำความสะอาดปลายก้านที่มีน้ำมันเครื่องติดออกมา แล้วใส่กลับเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง ปล่อยไว้สักครู่แล้วดึงออกมาวัดระดับที่ได้ ว่ามีน้ำมันเครื่องคงเหลืออยู่ปริมาณเท่าไร โดยดูได้จากเกจวัดระดับ และที่ดีที่สุดคือระดับน้ำมันเครื่องต้องอยู่ในจุด F หรือ FULL นั่นเอง (อย่าปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์พังแน่ๆ)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #66 เมื่อ: 16 มีนาคม 2016, 14:34:35 »

2.น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ สิ่งแรกที่ต้องทำคือจอดรถบนทางราบ และใส่เบรกมือ จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเปลี่ยนเกียร์ ไล่ไปตั้งแต่ตำแหน่ง P จนถึง L หรือ 1 เมื่อเปลี่ยนเกียร์แต่ละตำแหน่งให้ค้างไว้ที่ตำแหน่งนั้น ๆ สักครู่ แล้วจึงค่อยเลื่อนเปลี่ยนเกียร์ถัดไป เสร็จทุกเกียร์แล้วจึงเลื่อนมา P หรือ N ดึงก้านวัดระดับเกียร์อัตโนมัติออกมาแล้วเช็ดทำความสะอาดก่อน จากนั้นใส่ก้านวัดกลับเข้าไปแล้วดึงออกมาใหม่ คราวนี้สังเกตดูว่าระดับน้ำมันที่ติดออกมาอยู่ตรงตำแหน่งไหน ซึ่งถ้ายังอยู่ตรงคำว่า H หรือ HOT แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติปกติ
3.น้ำมันเบรก มีจุดให้สังเกตระหว่าง Min กับ Max ถ้าในระดับปกติต้องไม่เกิน Max และไม่ต่ำกว่า Min แต่ถ้าหากรู้สึกว่า น้ำมันเบรกพร่องหายเยอะเกินปกติ ควรรีบหาสิ่งผิดปกติโดยทันที หรือนำไปให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็ก และแก้ไข
4.น้ำมันคลัทช์ สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา เช่นเดียวกันกับน้ำมันเบรก สังเกตดูที่ระดับ Min กับ Max โดยระดับน้ำมันคลัทช์ต้องอยู่ระหว่างกลาง ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่าจุดที่กำหนด และถ้ารู้สึกว่าน้ำมันคลัทช์หายเยอะจนผิดปกติ ให้รีบหาต้นตอปัญหา หรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็ก และแก้ไขทันที
5.น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ เช็กได้ง่ายๆ เหมือนกับ 2 ข้อด้านบน ดูระดับ Min กับ Max เช่นเดียวกัน ไม่ให้น้อย หรือเกินกว่าจุดที่กำหนด และถ้าระดับน้ำมันหายไปเยอะผิดปกติ ก็ตรวจหาสาเหตุ หรือให้ช่างตรวจเช็ก และแก้ไขทันที
6.น้ำในถังฉีดกระจก อาจจะดูไม่ค่อยสำคัญเท่าไร แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้จริง ๆ มีไว้ก็ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี ดังนั้นควรเช็กบ้างว่ามันยังมีเหลือหรือเปล่า เพราะใช้เพียงแค่น้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #67 เมื่อ: 22 มีนาคม 2016, 14:28:05 »

7.แบตเตอรี่ มีทั้งแบบแห้ง (ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และแบบน้ำ (เติมน้ำกลั่น) สำหรับแบตฯ แห้ง ราคาค่อนข้างจะสูงมากทีเดียว แต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก เพียงแค่สังเกตอาการ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสตาร์ทติดยาก หรือถึงตามระยะเวลาอายุการใช้งาน ก็เตรียมตัวเปลี่ยนได้เลย แต่ถ้าเป็นแบตฯ น้ำ ต้องดูแลใส่ใจกันนิดนึง เพราะใช้ไปสักระยะ น้ำที่อยู่ในแบตฯ จะระเหยออกไป ดังนั้นจึงต้องคอยเติมอยู่เสมอไม่ให้ขาด และอย่าเติมล้นเกินไป เพราะเมื่อมันเดือดกรดจะล้นออกมากัดขั้ว หรือตัวถังรถได้
8.น้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ ควรจะเช็กในตอนเช้า ๆ ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือเช็กในตอนที่เครื่องยนต์ไม่มีความร้อนจะดีที่สุด ส่วนการสังเกตความผิดปกตินั้น ก็เปิดฝาหม้อน้ำ หรือถังพักน้ำสำรอง ดูสี ดูสภาพ ว่ายังดูดีเหมือนตอนแรกหรือเปล่า น้ำลดหายไปมากแค่ไหน ถ้าหายไปก็เติมเข้าไปด้วยน้ำยาหล่อเย็น หรือน้ำเปล่า (เฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น) เพราะการใช้น้ำยาหล่อเย็นจะช่วยป้องกันหม้อน้ำได้ดีที่สุด และหากสภาพที่เห็นไม่ค่อยสู้ดี มีสีของสนิม สมควรแก่การเปลี่ยนถ่ายโดยทันที
9.ท่อยาง ท่อทางเดินต่าง ๆ ในห้องเครื่อง ตรวจดูท่อต่าง ๆ ว่ามีตรงไหนผิดปกติบ้าง และท่อเชื่อมต่อต่างๆ ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานหรือเปล่า เช่น ไม่มีการรั่ว เยิ้ม แฉะ ซึม ฯลฯ พร้อมทั้งตรวจสภาพของท่อไปด้วยว่ามีอาการ กรอบ แข็ง นิ่ม หรือไม่
10.ไส้กรองอากาศรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบเปียก หรือแบบแห้ง กรองเปลือย หรือกรองเดิม ก็ต้องใส่ใจดูแลกันสักหน่อย จะได้ไม่มีเศษฝุ่นสิ่งสกปรกต่าง ๆ ผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้ ส่วนการดูแลก็ทำได้ง่าย หากดูแล้วยังเห็นว่าใช้งานได้อยู่ สกปรกไม่มาก ก็จัดการนำไปเป่าไล่เศษฝุ่นต่าง ๆ จากภายในออกสู่ภายนอกให้หมด หรือถ้าเป็นแบบเปียกก็นำไปล้างแล้วลงน้ำยาใหม่ และถ้าสกปรกมาก หรือดูสภาพไม่ดีแล้ว จัดการเปลี่ยนใหม่ดีที่สุด
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #68 เมื่อ: 30 มีนาคม 2016, 15:36:49 »

11.ยางรถยนต์ ดูคร่าว ๆ ในเรื่องของสภาพยางทั้ง 4 ล้อ และยางอะไหล่ ว่ายังพร้อมใช้หรือไม่ รวมไปถึงตรวจดูลมยางของแต่ละล้อ ว่ามีล้อไหนลมหายไปเยอะผิดปกติกว่าเส้นอื่นบ้าง หากมีควรรีบหาสาเหตุ และนำไปปะยางทันที หรือถ้าสภาพยางไม่ไหวแล้ว จัดการเปลี่ยนใหม่ปลอดภัยกว่า
12.ไส้กรองระบบปรับอากาศภายในรถยนต์ ต้องลงทุนรื้อภายในกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน ซึ่งหลังจากที่ถอดออกมาแล้ว ก็จัดการเปลี่ยนอันใหม่เข้าไปได้เลย (ไม่แนะนำให้เอามาทำความสะอาดแล้วใส่เข้าไปใหม่ เพราะไส้กรองแอร์ราคาไม่แพงแล้ว)
13.สัญญาณไฟ และไฟส่องสว่างต่างๆ เช็กดูให้หมด ทั้งไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟถอยหลัง ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ ว่ามีตรงไหนติด-ดับบ้าง หากมีก็จัดการนำหลอดใหม่เปลี่ยนเข้าไปแทนที่ได้เลย
ถือเป็นข้อมูลความรู้เบื้องต้นให้แก่ผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ อีกทั้งยังช่วยเสริมให้ผู้ที่รู้แล้วได้เข้าใจมากขึ้น และหากข้อไหนที่เช็กแล้วมีปัญหา ไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้ แนะนำให้เข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมทันที เพราะหากทำเองแล้วผิดพลาดจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ สุดท้ายนี้ กระปุกคาร์ หวังเป็นอย่างยิ่งที่บทความนี้ จะมีประโยชน์แก่คุณผู้อ่านทุกคน
http://car.kapook.com/view123094.html
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #69 เมื่อ: 07 เมษายน 2016, 13:53:18 »

9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ช่วงหน้าร้อน

อากาศร้อนอย่าลืมดูแลรถกับ 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในหน้าร้อนที่คนรักรถควรรู้

          แม้รถยนต์จะถูกสร้างให้ทนทานแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการดูแลก็ยากที่รถจะใช้งานได้อย่างราบรื่นเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ ยิ่งฤดูร้อนของบ้านเราที่อุณหภูมิพุ่งสูงสุดขั้ว ส่งผลต่อทุกส่วนของรถยนต์จนจำเป็นต้องตรวจสอบดูแลมากยิ่งกว่าเดิม แต่หากอยากรู้ว่าต้องตรวจสอบอะไรและอย่างไรบ้างนั้น ก็ต้องมาดู 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าร้อนที่กระปุกดอทคอมจัดให้คุณใ­นที่นี้แล้วครับ

           1.ตรวจสอบลมยางรถยนต์

          อากาศ ร้อนมีผลต่อสภาพของยางอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยจะทำให้ความดันภายในยางเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นสัมผัสของยางต่อถนนน้อยลงทำให้เมื่อเจอพื้นถนนเปียกลื­่นก็จะ หยุดยากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ จึงควรตรวจสอบสภาพและลมยางให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าว และอย่าลืมตรวจสอบยางอะไหล่ด้วยนะครับ

           2.ตรวจระบบปรับอากาศ

          คงไม่มีใครอยากใช้รถยนต์ที่ไม่มีระบบปรับอากาศในฤดูร้อนแน่นอน คุณจึงควรตรวจสอบระบบปรับอากาศอย่างระดับของน้ำยาแอร์ซึ่งหากเห­ลือน้อยก็อาจก่อปัญหากับระบบทำความเย็นของรถได้อย่างน้อยครั้งล­ะ 3 ปี ใครที่รู้ว่าห่างหายจากการตรวจมานานกว่านั้นก็รีบนำรถไปตรวจก็ด­ีนะ

           3.แบตเตอรี่รถยนต์

อากาศร้อนสุดขั้วของบ้านเราส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเ­ตอรี่รถยนต์ด้วย คุณควรหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ประกอบด้วยสายไฟและขั้วต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ก็ควรเติมอย่าให้พร่อง

           4.ระบบเบรก

          เบรก เป็นระบบความปลอดภัยที่คนใช้รถไม่ควรมองข้าม ซึ่งหากสังเกตว่าเกิดความผิดปกติขณะเบรก ไม่ว่าจะเป็นการสั่นมากกว่าปกติ มีเสียงดัง หรือมีระยะการหยุดยาวกว่าปกติ ก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบความปกติได้เลย อย่ารอให้มันผิดปกติจนอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้

           5.น้ำมันเครื่อง

          อากาศร้อนอาจทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต­์ได้มากทีเดียว นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ ตามที่คู่มือได้แนะนำก็จำเป็นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ทำงานให้ใช้งานได้อ­ีกนานเลย
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #70 เมื่อ: 20 เมษายน 2016, 13:41:28 »

6.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

          นอกจากน้ำมันเครื่องที่ดีแล้ว ระบบหล่อเย็นก็ควรทำงานได้อย่างปกติด้วย คุณควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุดเสียหาย รวมถึงทำความสะอาดหม้อน้ำ เมื่อพบสิ่งสกปรกมากกว่าปกติครับ

           7.สายยางและสายพานต่าง ๆ

          สายยางและสายพานเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระบบต่าง ๆ ของรถเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้จะมีความทนทานสูง แต่หากมีรอยชำรุดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ระบบของรถเกิดความผิดป­กติได้ จึงควรตรวจสอบอยุ่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ระบบภายในต่าง ๆ อาจเสียหายได้ง่ายเป็นพิเศษครับ

         8.จอดรถในที่ร่ม

          หากจำเป็นต้องจอดรถนาน ควรเลี่ยงการจอดรถในที่กลางแจ้งเป็นเวลานาน เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้ห้องโดยสารร้อนจนอยู่ไมได้แล้ว ยังส่งผลต่อสีตัวถังที่ซีดและเสียคุณสมบัติการปกป้องไปในไม่ช้า­ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรหาผ้าคลุมตัวถังเอาไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง­ครับ

          9.เปิดกระจกก่อนเร่งแอร์

          หลายคนเมื่อก้าวขึ้นรถก็อยากจะสัมผัสความเย็นจากระบบปรับอากาศท­ันที ไม่ว่ารถจะร้อนแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทำให้รถทำงานหนักกว่าปกติและเปลืองน้ำมันมากกว่า ดังนั้น ก่อนที่จะเปิดแอร์ ควรเปิดกระจกและพัดลมแอร์ให้แรงสักหน่อยเพื่อไล่ความร้อนออกไป ทำแบบนี้เพียง 1-2 นาที รับรองว่าแอร์ในรถจะเย็นเร็วกว่าเดิมมาก แถมประหยัดน้ำมันมากกว่าด้วย

          เคล็ดลับทั้ง 9 ข้อ เป็นสิ่งที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรจะตรวจสอบเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับในฤดูร้อนอาจต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นพิเศษเพื่อป้องกั­นเหตุสุดวิสัยที่อาจเกิดขึ้น ทั้งยังช่วยรักษาสภาพรถคู่ใจให้อยู่กับคุณไปอีกนาน ๆ ยังไงล่ะครับ

http://car.kapook.com/view117768.html
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #71 เมื่อ: 25 เมษายน 2016, 15:52:48 »

ภัยแล้งทุบยอดรถวูบ ลุ้นฟ้าฝนฟื้นครึ่งปีหลัง

อากาศร้อนในไทยฮอตไม่แพ้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ จับตาไตรมาส2ปี59จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

ท่ามกลางสภาวะอากาศที่แสนจะร้อนแรงของอุณหภูมิในประเทศไทย ซึ่งฮอตไม่แพ้สมรภูมิเดือดของการแข่งขันในตลาดรถยนต์เวลานี้หลังงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ภาพรวมโกยยอดขายไม่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่ายหวังไว้ รวมถึงผู้จัดงานเอง ทำให้สัญญาณหลังจากนี้ ที่ในอุตสาหกรรมเคยคาดการณ์ไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2559 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์อยู่แล้ว การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่เป็นปัจจัยลบพื้นฐานที่นำมาคาดการณ์สถานการณ์ตลาดกันในปีนี้

วัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะยังคงส่งผลกระทบในระยะยาวอยู่ต่อไป ซึ่งวัดผลได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ประจำเดือนที่จะต้องฟื้นตัวกลับมาได้เดือนละมากกว่า 7 หมื่นคัน หลังจากช่วง 2 เดือนแรกของปี ตลาดรวมอยู่ในระดับ 5 หมื่นคันเท่านั้น โดยถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้กระทบภาพรวมตลาดทั้งปี .... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/427251
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #72 เมื่อ: 28 เมษายน 2016, 11:22:49 »

ภัยแล้งทุบยอดรถวูบ ลุ้นฟ้าฝนฟื้นครึ่งปีหลัง
อากาศร้อนในไทยฮอตไม่แพ้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ จับตาไตรมาส2ปี59จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ท่ามกลางสภาวะอากาศที่แสนจะร้อนแรงของอุณหภูมิในประเทศไทย ซึ่งฮอตไม่แพ้สมรภูมิเดือดของการแข่งขันในตลาดรถยนต์เวลานี้หลังงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ภาพรวมโกยยอดขายไม่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่ายหวังไว้ รวมถึงผู้จัดงานเอง ทำให้สัญญาณหลังจากนี้ ที่ในอุตสาหกรรมเคยคาดการณ์ไว้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2559 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์อยู่แล้ว การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่เป็นปัจจัยลบพื้นฐานที่นำมาคาดการณ์สถานการณ์ตลาดกันในปีนี้
วัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะยังคงส่งผลกระทบในระยะยาวอยู่ต่อไป ซึ่งวัดผลได้จากตัวเลขยอดขายรถยนต์ประจำเดือนที่จะต้องฟื้นตัวกลับมาได้เดือนละมากกว่า 7 หมื่นคัน หลังจากช่วง 2 เดือนแรกของปี ตลาดรวมอยู่ในระดับ 5 หมื่นคันเท่านั้น โดยถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้กระทบภาพรวมตลาดทั้งปี .... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/427251
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #73 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2016, 16:55:25 »

5 วิธีใช้ 'จีพีเอส' อย่างถูกต้องรับรองไม่มี 'หลงทาง'..!
ปัจจุบันระบบนำทางระบบจีพีเอส มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มตั้งแต่อุปกรณ์ประเภท Standalone สำหรับใช้นำทางโดยเฉพาะ (เช่น Garmin, Kamaz และอื่นๆ) ไปจนถึงระบบนำทางในสมาร์ทโฟน ที่มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้มากมาย
แต่ด้วยข้อจำกัดของการอัพเดตข้อมูลแผนที่ ทำให้ถนนบางสาย (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ยังคงขึ้นว่าสามารถขับรถผ่านได้ ทั้งๆที่ถนนเหล่านั้นอาจเป็นเพียงเส้นทางเดินแคบๆ หรือถนนเก่าแก่ที่แทบจะไม่มีใครใช้สัญจรกันอีกแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คุณผู้อ่านหลงทางเพราะเชื่อเนวิเกเตอร์มากเกินไป มีคำแนะนำ 5 ประการดังนี้
1.รอให้เนวิเกเตอร์ล็อคสัญญาณจีพีเอสก่อนเดินทาง
คนส่วนใหญ่มักหยิบโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์เนวิเกเตอร์ขึ้นมา แล้วใส่จุดหมายปลายทางลงไปทันทีโดยไม่รอให้ตัวเครื่องจับสัญญาณจีพีเอสได้ก่อน ทำให้ตำแหน่งที่เราอยู่ไม่ตรงกับจุดเริ่มต้นบนเนวิเกเตอร์ ส่งผลให้การวางแผนเดินทางล่วงหน้าผิดพลาดได้
หากเป็นระบบนำทางบนมือถือที่มีระบบ A-GPS อาจใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีในการล็อคสัญญาณ แต่หากเป็นเครื่องนำทางโดยเฉพาะที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจใช้เวลาล็อคสัญญาณราว 3-5 นาทีก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้เปิดใช้เป็นเวลานานๆ
2.หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ 'Shortest Route'
เนวิเกเตอร์บางรุ่นหรือบางแอพพลิเคชั่นบนมือถือบางตัว สามารถปรับรูปแบบการเลือกเส้นทางได้ แต่เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ 'Shortest Route' หรือ 'ทางที่ใกล้ที่สุด' เพราะเนวิเกเตอร์จะพาเราไปยังเส้นทางที่สั้นที่สุดตามข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งอาจเป็นทางลูกรังชนิดล้อเกวียนแตก หรือทางที่เลิกใช้ไปตั้งแต่ยุคโบราณแล้วก็เป็นได้
เราแนะนำให้ปรับเป็นแบบ Quickest Route ที่เน้นวิ่งบนถนนเส้นหลัก หรือ Economy Route ในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงทางด่วนหรือด่านจ่ายเงิน (ชื่อเรียกอาจแตกต่างไปตามแต่ละยี่ห้อ)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #74 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2016, 15:17:32 »

3.ตรวจสอบตำแหน่งจุดหมายปลายทางทุกครั้ง
เมื่อพบสถานที่ปลายทางบนเนวิเกเตอร์แล้ว ควรตรวจสอบรายละเอียดสถานที่นั้นๆให้ดีเสียก่อน ว่าชื่อซอย, ถนน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด ตรงกับที่เราต้องการจะไปจริงๆ บางสถานที่อาจมีชื่อซ้ำกันแต่อยู่คนละจังหวัด อันนี้ยังไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่บางที่อยู่อำเภอเดียวกันแถมชื่อยังเหมือนกันอีก แบบนี้ต้องเช็คให้ดี
4.ตรวจสอบเส้นทางไปยังจุดหมายโดยละเอียด
เมื่อเนวิเกเตอร์คำนวณเส้นทางเสร็จเรียบร้อย ควรตรวจสอบเส้นทางให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งก่อนเริ่มเดินทาง หากเป็นถนนต่างจังหวัด ก็ควรอิงถนนหลวง หรือถนนเส้นหลักเอาไว้ก่อน พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางย่อยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบางทีเนวิเกเตอร์อาจพาไปเส้นทางทางที่ชาวบ้านเขาไม่ใช้กันแล้ว
เทคนิคหนึ่งในกรณีที่ระบบนำทางพาไปยังถนนเส้นรองโดยไม่จำเป็น เราสามารถตั้ง 'จุดผ่าน' ให้เป็นถนนเส้นหลักตามที่เราต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงถนนเส้นรองนั้นๆได้
5.วางแผนล่วงหน้าและฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญ
การใช้ประโยชน์จากระบบนำทางอย่างดีที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เริ่มออกเดินทางแล้วค่อยมาเปิดจีพีเอส เพื่อที่จะได้มีเวลาเช็คข้อมูลสถานที่ปลายทาง เส้นทางที่ต้องวิ่งผ่าน รวมถึงจุดแวะต่างๆ อีกทั้งยังควรฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญก่อนนำมาใช้จริง จะได้รู้จักสัญลักษณ์และเสียงเตือนต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับรถได้อีกทางหนึ่งด้วย
http://auto.sanook.com/52393/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #75 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2016, 15:09:51 »

รถเบรกดังควรทำอย่างไร?
เสียงเบรกจากรถยนต์อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ “มติชน” ยานยนต์ มีข้อแนะนำเมื่อเกิดปัญหาเบรกมีเสียงดัง ดังนี้
1.ตรวจสอบผ้าเบรก ดูว่าผิวหน้าของเบรกเป็นมันเงาหรือไม่ เพราะผิวหน้าผ้าเบรกเป็นเหมือนกระจก ความร้อนทำให้ผิวหน้าผ้าเบรกแข็งตัว จึงไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงของผ้าเบรกได้ ดูว่ามีรอยลักษณะเหมือนจานแผ่นเสียงหรือไม่ รอยที่เกิดจากการเสียดสีกับจานเบรก อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสั่นเล็กน้อยได้ หรืออาจมีการสึกไม่เสมอกันหรือไม่ อาจมีความผิดปกติที่คลิปผ้าเบรกหรือลูกสูบมีการฉุดกระชาก
2.ตรวจสอบสภาพของซิมและจาระบี เพราะซิมอาจบิดผิดรูป ส่วนที่เคลือบและยางเสื่อมสภาพ เนื่องจากส่วนที่เป็นยางมักจะแข็งตัวและหลุดออกเมื่อถูกความร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางในบริเวณที่ถูกลูกสูบกด มักจะหลุดหรือบิดผิดรูปได้ นอกจากนี้ หากบริเวณเขี้ยวอยู่ที่ผ้าเบรกผิดรูป จะทำให้ซิมไม่อยู่ในสภาพเหมาะสม ด้านหลังผ้าเบรกทาจาระบีไว้อย่างพอเหมาะหรือไม่ เพราะจาระบีจะหลุดง่ายเมื่อโดนความร้อน เศษโคลน หรือน้ำ
3.ตรวจสอบผิวหน้าของจานเบรก สังเกตว่าผิวหน้าเปลี่ยนสีออกเป็นสีดำและเป็นมันเงาหรือไม่ เพราะความร้อนทำให้ผิวหน้าเกิดรอยไหม้ นอกจากนี้ ผงสร้างแรงเสียดทานในผ้าเบรกอาจติดอยู่ที่ผิวจานเบรกได้ มีรอยลักษณะเหมือนจานแผ่นเสียงที่ผิวหน้าหรือไม่ เป็นรอยเกิดจากการเสียดสีกับผ้าเบรก สีที่เปลี่ยนไปและรอยที่เกิดขึ้นจะทำให้ระบบการสั่นของผ้าเบรกขณะหยุดรถเปลี่ยนไป ก่อให้เกิดเสียงเบรกได้
4.ตรวจสอบก้ามปู สังเกตว่าบิดผิดรูปหรือไม่ เป็นเรื่องเกิดไม่บ่อยนัก แต่หากถูกกระทบแรงมากๆ ในระยะเวลาหนึ่ง หรือรถเกิดอุบัติเหตุ ตัวก้ามปูจะผิดรูปเล็กน้อย ชิ้นส่วนที่เป็นยางเสื่อมสภาพหรือไม่ หากชิ้นส่วนเป็นยางผิดปกติ จะทำให้ลูกสูบและส่วนที่สไลด์ทำงานไม่ปกติ มีอาการกระชาก เป็นต้น คลิปที่ยึดผ้าเบรกด้วยแรงที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอาการเอียงหรือสั่นเล็กน้อยได้
ส่วนเสียงเสียดสีหรือเหมือนกับการขูดของโลหะ หรือการเสียดสีของวัตถุสองชิ้น อาจเกิดความร้อนและเกิดเสียงดัง มาจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่
1.เสียงดังขณะเบรก ผ้าเบรกอาจมีส่วนผสมของโลหะมากเกินไป ควรเปลี่ยนใช้ผ้าเบรกที่มีส่วนผสมโลหะต่ำ
2.เสียงดังความถี่สูง เช่น อี๊ดๆ ขณะเบรก ผ้าเบรกอาจสึกหรอมาก (ความหนาน้อยกว่า 4 มม.) ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันที
3.เสียงความถี่สูงสลับกับเสียงความถี่ต่ำ จานเบรกอาจเสียดสีกับคาลิปเปอร์ ควรตรวจดูการยึดการติดตั้งของคาลิปเปอร์ ความแน่นของสลัก การปรับให้ทาจาระบี และปรับแบริ่งล้อใหม่ให้เหมาะสม
4.เสียงดังความถี่สูง เสียงเสียดสีความถี่สูง แบริ่งล้มหลวม สลักยึดคาลิปเปอร์ยาวเกินไป ควรปรับเปลี่ยนสลักยึดให้ยาวพอดีและเหมาะสม
http://auto.sanook.com/52027/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #76 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2016, 14:34:42 »

5 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับไฟ Daytime Running Light ของคนไทย
ปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เริ่มติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน หรือ Daytime Running Light ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานกันมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ แถมยังเป็นช่องทางให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถใส่ลูกเล่นเพิ่มความสวยงามให้กับตัวรถได้มากขึ้น นับเป็นจุดขายอย่างหนึ่งด้วย
ซึ่ง Daytime Running Light หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า 'เดย์ไลท์' นั้น ถูกนำมาบังคับใช้เป็นกฎหมายในยุโรปมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งรถยนต์นั่งทุกคันที่ผลิตขึ้นสำหรับวางจำหน่ายในยุโรปหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2011 เป็นต้นไป จะต้องติดตั้งระบบไฟดังกล่าวมาจากโรงงาน ส่วนรถที่ผลิตไปแล้วก่อนหน้าไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่ว่านี้แต่อย่างใด
คุณลักษณะของไฟ DRL ว่าด้วยมาตรฐานความปลอดภัย UNECE Reg 87 และ 48 กล่าวโดยสรุป คือ จะต้องมีความสว่างจนสามารถเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางวัน และจะต้องหรี่หรือดับลงอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้ารถ หาก DRL ถูกติดตั้งไว้ใกล้กับสัญญาณไฟเลี้ยว จะต้องมีการหรี่หรือดับ DRL ข้างที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติเมื่อยกก้านไฟเลี้ยว เพื่อป้องกันการรบกวนทำให้ผู้ใช้ถนนไม่สามารถเห็นไฟเลี้ยวได้อย่างชัดเจน เป็นต้น
ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้ถนนคันอื่นสามารถเห็นรถที่ติดตั้ง DRL ได้อย่างชัดเจนขึ้นแม้ในเวลากลางวัน ช่วยให้สามารถกะระยะห่างและความเร็วที่แล่นมาของรถได้ดียิ่งขึ้น คล้ายกับกฎหมายที่มีการบังคับรถมอเตอร์ไซค์ให้เปิดไฟหน้ารถไว้ตลอดเวลาขณะขับขี่นั่นเอง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้ผลิตรถยนต์ในบ้านเราหันมาให้ความสนใจกับฟังก์ชั่นที่ว่านี้กันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Daytime Running Light ของผู้ใช้รถในบ้านเราอยู่ไม่น้อย ซึงรวบรวมมาไว้ดังนี้ครับ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #77 เมื่อ: 19 พฤษภาคม 2016, 10:54:53 »

1.ต้องเป็นไฟสีขาวเสมอ
ไฟ DRL ที่พบเห็นส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักเป็นแบบ LED ที่ให้แสงสีขาว สวยงาม สะดุดตา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไฟ DRL จะต้องเป็นแบบแอลอีดีเสมอไป รถบางรุ่นยังคงใช้หลอดแบบฮาโลเจนที่ให้แสงสีขาวนวลอมเหลือง ซึ่งก็สามารถใช้ได้เช่นกันหากให้ความสว่างเพียงพอ
2.กินแบตโดยใช่เหตุ
จริงอยู่ที่ถ้ารถมีอุปกรณ์ไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะส่งผลให้กินแบตมากขึ้นตามไปด้วย แต่สำหรับไฟ DRL นั้นถือว่ากินแบตน้อยมาก โดยเฉพาะรุ่นที่เป็นแบบ LED แต่ถ้าเป็นหลอดแบบฮาโลเจนก็ใช้พลังงานไม่ต่างไปจากหลอดไฟเบรก (แบบไส้) เลย ดังนั้น จึงตัดกังวลไปได้เลยว่าเปิดไฟเดย์ไลท์แล้วจะทำให้เปลืองแบตรถเปล่าๆ
ทางที่ดีถ้ารถคันไหนมีมาให้ ก็ใช้ไปเถอะครับ เพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปปิดหรือเปิดไฟหรี่แทน ซึ่งวิธีนั้นเผลอๆจะกินแบตมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะไฟรถจะสว่างทั้งคัน ไม่เว้นแม้แต่ภายในห้องโดยสาร
3.ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร
อย่างที่บอกไปว่า DRL ถูกกำเนิดขึ้นด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยเป็นหลัก ดังนั้น การที่เปิดไฟ DRL ทิ้งไว้ จะทำให้รถคันอื่นสามารถสังเกตเห็นรถของคุณได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ในกรณีที่คุณขับรถเร็วอยู่ในช่องทางขวา หากมีรถกำลังจะแซงมาจากเลนซ้าย เขาก็จะสามารถคาดคะเนความเร็วของรถคุณได้ดีขึ้นด้วย เป็นต้น
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #78 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2016, 14:19:21 »

4.สว่างไม่ต้องมากก็ได้
ถ้าเป็นไฟ DRL ที่ติดตั้งมาจากโรงงานผู้ผลิต พวกนี้จะมีความสว่างในระดับมาตรฐานอยู่แล้ว แต่รถบางรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งมาให้ เจ้าของอาจนำไปติดตั้งเองจากร้านอุปกรณ์ประดับยนต์ ซึ่งถ้าเลือกซื้อแบบราคาถูกจากจีนหรือไต้หวัน ไฟ DRL พวกนี้ก็มักไม่สว่างเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์จริง เน้นติดเอาแฟชั่นเสียมากกว่า ยิ่งถ้าใช้สีอื่นนอกเหนือไปจากสีขาวหรือสีขาวอมเหลืองแล้วละก็ ยังถือว่าผิดกฎหมายอีกด้วย
5.ใช้แทนไฟหน้ายามค่ำคืนได้
รถยนต์บางรุ่นถูกออกแบบไฟ DRL มาอย่างสวยงาม จนทำให้เจ้าของรถบางคนใช้วิ่งยามค่ำคืนโดยไม่เปิดไฟหน้า เพราะต้องการความโดดเด่น แต่รู้ไหมว่านี่ถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อผู้ร่วมทางมาก เพราะไฟเดย์ไลท์จะมีความสว่างมากในเวลากลางคืน เนื่องจากลำแสงจะถูกตั้งให้ส่องไปด้านหน้าเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนขณะวิ่งกลางวัน ทำให้แยงสายตาผู้ขับขี่คนอื่นๆในเวลากลางคืน รวมถึงไฟตำแหน่งต่างๆ เช่น ไฟท้าย ไฟส่องทะเบียน ฯลฯ ก็จะไม่สว่างขึ้นมา เสี่ยงต่อการโดนชนท้ายอีกต่างหาก
ดังนั้น เราควรใช้ Daytime Running Light ไม่เพียงเพราะเหตุผลด้านความสวยงามเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยอันเป็นจุดประสงค์หลักของมันควบคู่กันไปด้วยครับ
http://auto.sanook.com/52799/



* aHR0cDovL3AzLmlzYW5vb2suY29tL2F1LzAvdWQvMTAvNTI3OTkvMTE3LmpwZw==.jpg (77.63 KB, 550x367 - ดู 422 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #79 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2016, 14:21:22 »

ตลาดรถญี่ปุ่นเผชิญศึก ค่าเงินแข็ง-เรื่องอื้อฉาว
บรรยากาศตลาดรถยนต์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาร้อนแรงเป็นที่จับตามองอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวการโกงการประหยัดน้ำมันของมิตซูบิชิ ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากญี่ปุ่นปัญหาถุงลมนิรภัยทากาตะที่นำไปสู่การเรียกคืนรถยนต์กว่า 50 ล้านคันทั่วโลก หรือโฟล์คสวาเกน บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่มีการโกงการตรวจสอบมลพิษ กลับมียอดขายรถยนต์ครองอันดับ 1 แซงหน้าโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ 2.51 ล้านคัน
ล่าสุด โตโยต้า มอเตอร์ คาดการณ์ว่าผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีงบประมาณปัจจุบันสิ้นสุดเดือน มี.ค. 2017 อาจปรับตัวลงถึง 40.4% อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านเยน (ราว 5.5 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น และเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ชะลอตัว
ส่วนกำไรสุทธิปีงบประมาณเดียวกันอาจร่วงลง 35.1% แตะ 1.5 ล้านล้านเยน (ราว 4.9 แสนล้านบาท) ขณะที่รายได้ก็มีแนวโน้มจะปรับตัวลงราว 6.7% แตะ 26.5 ล้านล้านเยน (ราว 8.61 ล้านล้านบาท)
อาคิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ระบุว่า ที่ผ่านมาโตโยต้าได้ประโยชน์จากเงินเยนอ่อนค่า ส่งผลให้รายได้ของบริษัทอยู่สูงกว่าระดับจริง ส่วนปีนี้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่อาจทำให้สถานการณ์ของโตโยต้าแย่ลงไปอีกในปีนี้
อย่างไรก็ดี โตโยต้าตั้งเป้ายอดจำหน่ายรถยนต์ที่ 10.15 ล้านคันทั่วโลกปีนี้ สูงกว่ายอดขายปีก่อนที่ 10.09 ล้านคันทั่วโลก โดยในปีงบประมาณก่อน ผลกำไรค่าดำเนินงานปรับตัวขึ้น 3.8% แตะ 2.85 ล้านล้านเยน (ราว 9.3 แสนล้านบาท) ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.4% อยู่ที่ 2.31 ล้านล้านเยน (ราว 7.5 แสนล้านบาท) และยอดขายเพิ่มขึ้น 4.3% แตะ 28.40 ล้านล้านเยน (ราว 9.22 ล้านล้านบาท)
มิตซูบิชิรับโกงรถทุกรุ่น
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังจากญี่ปุ่น ยอมรับว่าอาจมีการโกงการประหยัดน้ำมันในรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิทุกรุ่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่นตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 6 แสนคัน
จากข่าวฉาวดังกล่าว ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์มินิคาร์ รุ่นอีเค วากอน และอีเค สเปซ ของมิตซูบิชิ ร่วงลงจากอันดับ 12 มาอยู่ที่อันดับ 19 เช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นเดอะ เดย์ส และเดอะ เดย์ส รูกซ์ ของนิสสัน ที่ร่วงลงเช่นกัน โดยยอดจำหน่ายรถยนต์รุ่นเอ็น-บ็อกซ์ ของฮอนด้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้น 14.4% ตามมาด้วยรถยนต์รุ่นตันโตะของไดฮัทสุ มอเตอร์ ปรับตัวขึ้น 36.7%
.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/431449
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5 ขึ้นบน พิมพ์ 
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  Civic Club Classifieds => ประกาศซื้อ-ขาย  |  ซื้อ-ขายอะไหล่ ขายรถยนตร์ และประชาสัมพันธ์แนะนำธุรกิจ  |  หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้
กระโดดไป:  


.: Powered by :.
.: Link Exchange :.
civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017


Powered by MySQL Powered by PHP Copyright 2004-2014 www.welovecivic.com All rights reserved
Contact: theerachai@siamrx.com
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Civic Club | ย่อลิงค์ |