|
|
|
|
|
|
|
|
teelex123
ไม่อยากเป็น
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 2,191
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2007, 20:53:16 » |
|
คำตอบ 123 มาจากการที่ใช้ชื่อ LOG IN TEELEX ในเว๊ป ธรรมมะต่างๆ แล้ว ชื่อ LOG IN ซ้ำเลยไม่รู้ว่า จะใช้ชื่ออะไร ก็ เลยใส่ 123 ลงไปครับ หรือที่ ภาษาไทยเขาเรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ครับ
คำถามครับ ได้สูงสุด กี่ครั้งครับ ต่อวัน แล้วแต่ คิดครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กุมภาพันธ์ 2007, 21:05:49 โดย teelex123 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
teelex123
ไม่อยากเป็น
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 2,191
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2007, 12:30:18 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
j_nobita
อยากกระโดดหอมแก้ม
Gold Member
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 16,034
เหมียว หง่าว
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2007, 12:41:20 » |
|
ตอบ แต่ละครั้งไม่เกิน 30 วิ แต่อีกครั้งภานใน5นาที............ในการเข้ามาชมเวป welovecivic
ถาม ถ้าวันนี้เป็นวันจันทร์ วันอังคารเป็นวันอะไร?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดี
|
|
|
|
|
monotoneday
*_*
Gold Member
เจ้าสำนัก
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 540
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2007, 14:13:43 » |
|
ตอบ ถ้าวันนี้เป็นวันจันทร์ วันอังคารเป็นวันพรุ่งนี้ครับ
ถาม วันวาเลนไทน์ปีนี้จะให้อะไรแฟนดี?
ตอบ : ให้บุญรักษา ถาม : ทำไมไม่มีใครตอบคุณ civicgirl ที่ถามว่า ทำไมทีมไทยแพ้ ทีม เทหมาเสก ค่ะ? ตอบ : เพราะผิกกติกาครับ (ต้องตอบก่อนถาม) ถาม : ทำไมทีมไทยแพ้ ทีม เทหมาเสก ค่ะ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
มิตรแท้...ต้องสัมผัสด้วยใจ..หาใช่เพียงผ่าน
|
|
|
|
|
|
icy_engine
--[So_Lonely][GirL]--
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 209
.::อ้าย[ตั][ว]เล็ก::.
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2007, 22:31:47 » |
|
ทำใจจะตอบไม่ได้เล๊ยยยยยยยยย
--------------------------------------------------- รอท่านต่อไปมาตอบดีก่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
teelex123
ไม่อยากเป็น
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 2,191
|
|
« ตอบ #61 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2007, 23:06:30 » |
|
นี่สวยที่สุดแล้วหรือครับ ผมจะย้าย บอร์ดไปที่อื่น พรุ่งนี้เลย ครับ ตอบ ไม่จบครับ คงจะจบตอน CIVIC รุ่นใหม่ออกครับ ถาม แล้วคนที่หล่อสุดในบอร์ดนี้ ชื่อ TEELEX คุณ เห็นด้วยไหมครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กุมภาพันธ์ 2007, 23:08:09 โดย teelex123 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
j_nobita
อยากกระโดดหอมแก้ม
Gold Member
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 16,034
เหมียว หง่าว
|
|
« ตอบ #66 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2007, 14:03:02 » |
|
ตอบ32 ติ 24 ตู 1 เต็ง 7 ตุ๊ก 9 ตีน 4 เต็ม 664 ต 100 ตี๋ 49 ต้น 120 ต่ 5 ตุ 21 ตั้ง 40 เต้ย 52 ตัว 46 ติ่ง 1 ติ๋ม 47 ต้อย 41 ต้ 1 ตุ๊บ 27 ตำ 41 ตั 13 ต่ำ 1 โต๊ด 16 ตี 1 ต๊อก 1 ต๋อย 13 ตุ๊ 1 ตึง รวม ต ทั้งหมด 1378 ตัว ร้านรองเท้าแห่งหนึ่งขายรองเท้าคู่ละ 20 บาท ได้กำไรคู่ละ 2 บาทต้นทุน 18 บาท ลูกค้าคนหนึ่งมาซื้อรองเท้า 1 คู่ ให้แบ็งค์ 100 บาท แม่ค้าไม่มีเงินทอนไปแลกข้างบ้าน 100 บาท มาทอนให้ลูกค้า 80 บาท พร้อมรองเท้า 1 คู่ ข้างบ้านเอาเงินมาแลกคืนเนื่องจากเป็นแบ็งค์ปลอม ถามว่า แม่ค้าขาดทุนกี่บาท ?
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กุมภาพันธ์ 2007, 14:06:04 โดย j_nobita »
|
บันทึกการเข้า
|
คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดี
|
|
|
|
|
|
|
taxman : ปทุมธานี
= ประธานคลับ . . . โอมเหม่ง =
ประธานคลับ
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 23,937
Work hard, Play hard
|
|
« ตอบ #71 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2007, 10:23:58 » |
|
ขอข้ามครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
neat_boy?
Gold Member
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
กระทู้: 14,994
|
|
« ตอบ #72 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2007, 10:30:07 » |
|
ขอข้ามครับ ห้ามข้าม ผิดกฏ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
taxman : ปทุมธานี
= ประธานคลับ . . . โอมเหม่ง =
ประธานคลับ
อาจารย์ปู่
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 23,937
Work hard, Play hard
|
|
« ตอบ #74 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2007, 10:43:15 » |
|
ต้องตัด ตอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
monotoneday
*_*
Gold Member
เจ้าสำนัก
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 540
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2007, 15:22:40 » |
|
ถาม : คำตอบเนื้อสัตว์ ๓ อย่างที่พระพุทธเจ้าได้เทศนาสั่งสอน ได้เทศนาให้ใครฟัง และเทศน์ที่วัดใด ขอที่มาของคำตอบที่ถูกต้องด้วย [/quote] ***** :'( :'( กว่าจะหาคำตอบได้ อ่านไปเยอะเลยครับ พี่ท่าน *********** ตอบ 1 ; ภายหลังที่พระพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้าไปในประเทศจีนแยกออกเป็นนิกาย "อาจารยวาท" หรือ "มหายาน" และขยายมาทางใต้ของอินเดียถือว่าเป็นเถรวาท หรือหินยาน ฝ่ายมหายานยึดหลักแห่งเมตตาธรรมมีวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งคือฉันภัตตาหารเจ คัมภีร์สำคัญของมหายาน 4 พระสูตรซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธวจนะ ได้บัญญัติห้ามการกินเนื้อสัตว์คือ หัสติกักสยะ, มหาเมฆะ, นิรวาณางคุลี มาลิกา และ ลังกาวตาร ท่านพุทธทาสได้แปลบางตอนในลังกาวตารสูตรมีความว่า "โอ มหาบัณฑิต ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่าย ในการเกิดอีก ตายอีก ไม่มีสัตว์แต่ตัวเดียวที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่ชาย น้องชาย พี่หญิงน้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์ สองเท้า สัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติ ของเราโดยตรง สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไรหนอ จะเป็นผู้สำเร็จแล้วหรือยังเป็นสาวกธรรมดาอยู่ก็ตาม ผู้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นภราดรของตน แล้วจะเชือดเถือเนื้อหนังของมันอีกหรือ" และอีกบางตอนมีความว่า "..เพราะฉะนั้น เนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้ปรารถนาจะมีสาธุคุณในทางจิต ทั้งเพื่อตนเอง และผู้อื่น นักกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้เดือน โรคพยาธิ โรคเรื้อน ใครเจ็บในท้อง ฯลฯ โอ มหาบัณฑิต เรากำลังประกาศว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ดั่งนี้ แล้วจะกล่าวไปอย่างไรได้ ที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจอำมหิตเป็นของถูกห้ามโดยท่านสัตบุรุษทั่วไป เต็มไปด้วย มลทิน ปราศจากคุณธรรมใดๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภคสำหรับผู้บริสุทธิ์ และเป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง" และปัญหาที่ถกเถียงกันไม่เป็นข้อยุติคือ ระหว่างผู้ฆ่า กับผู้กิน ใครคือผู้รับบาป ในลังกาวตารสูตรได้กล่าวเอาไว้ชัดเจนว่า "เขาผู้ฆ่าสัตว์ชนิดใดๆ ก็ตามเพื่อเงิน และเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้น ทั้งสองพวกได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบอกุศลกรรม จักจมลงในนรกโรรวะ และนรก ฯลฯ ส่วนพุทธศาสนาฝ่ายหินยานยึดถือเอาคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งแต่งเมื่อประมาณ พ.ศ.900 ได้กำหนดโดยอ้างว่าเป็นพระพุทธวจนะห้ามเสพเนื้อสัตว์สิบอย่างคือ มนุษย์ ช้าง ม้า สุนัข งู ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี และเนื้อเสือดาว นอกนั้นฉันได้แต่ต้องไม่อยู่ในข้อกำหนดอีกสามประการคือได้ยิน ได้เห็น และเจาะจง แต่ตามหลักฐานค้นพบใหม่กล่าวว่า พุทธศาสนาหินยานแต่เดิมนั้น มิได้ฉันเนื้อสัตว์ โดยมีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงลังกา 3 ครั้ง พระสายลังกาวงศ์แท้ จึงไม่เสพเนื้อสัตว์ แต่พอไปจากสยามวงศ์ในภายหลังจึงหันมาฉันเนื้อสัตว์ ปัญหาที่ค้างคาใจพุทธศาสนิกชนก็คือ พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์ หรือไม่ ผู้ที่ตอบว่า "เสวย" กับ "ไม่เสวย" ต่างไม่เคยเห็นพระพุทธองค์เสวย เพราะฉะนั้นพูดไปจึงเป็น "ทุวาจา" คือ คำพูดชั่วก่อนรกให้แก่ตัวเอง แต่มีข้อควรพิจารณาด้วยปัญญาของตนเองอยู่ 3 ประการคือ ประการแรก อาหารสามมื้อของพระพุทธองค์เป็น ภัตตาหารมังสวิรัติ ทั้งสิ้น คือ ก่อนตรัสรู้เสวยข้าวมธุปายาส ซึ่งนางสุชาดานาถวายรุกขเทวดา ตรัสรู้แล้วนายวานิชสองพี่น้องนำข้าว สัตตุผงมาถวาย และมื้อสุดท้ายที่เป็นปัญหาคือ "สูกรมัทวะ" ที่นายจุนทะนำมาถวายนั้นแปลกันว่า "เนื้อสุกรอ่อน" เป็นคำแปลที่ผิดท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า "สิ่งที่หมูชอบ" คือเห็ดชนิดหนึ่งฝังอยู่ใต้ดินภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า "ลูกบุก" ภาษาอังกฤษเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า Truffle มีสีดำกับสีน้ำตาล เวลาหาเห็ดชนิดนี้ต้องพาหมูไปด้วย เพราะจมูกหมูไวต่อกลิ่นเห็ดนี้เป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า ภัตตาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธองค์เป็นหมู หรือ เห็ด ประการที่สองปัญหาที่พระเทวทัตทูลขอต่อพระพุทธองค์ให้บังคับสาวกทั้งปวงฉันอาหารมังสวิรัติ และพระพุทธองค์ ทรงไม่อนุมัติตามคำขอนี้มาแปลความว่า พระภิกษุฉันอาหารเนื้อสัตว์เป็นปกติ ทำไมจึงไม่แปลความหมายว่า การที่พระพุทธองค์ทรงไม่อนุมัติเพราะการบังคับย่อมเป็นไปไม่ได้ เนื่องด้วยการกินเป็นเรื่องเฉพาะตัวบังคับกินไม่ได้ถ้าหากตั้งกฎขึ้นมาแล้ว ย่อมมีผู้รักษากฎการกินเป็นเรื่องที่ต้องคุมตัวเองไม่มีใครคุมใครได้ ประการสุดท้ายพระพุทธองค์ทรงสอนเวไนยสัตว์ทั้งปวงให้รักษาเบญจศีลซึ่งข้อที่หนึ่งคือ ห้ามเบียดเบียนชีวิตสัตว์ เมื่อพระพุทธองค์สอนเช่นนี้ ย่อมปฏิบัติได้เป็นนิจศีลอยู่แล้ว หากเสวยเนื้อสัตว์ย่อมอยู่ในฐานะสอนอย่างหนึ่งแต่ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ย่อมถูกตำหนิติเตียนจากผู้คนของลัทธิอื่นอย่างแน่นอน ถึงจะกินโดยจิตว่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ลองใคร่ครวญจากคำพูดต่อไปนี้ "กินหมูก็อย่าหมายความว่าเป็นหมู ก็ไม่บาป" คนกินหมูพูดอย่างนี้ "หมูมันยินยอมพร้อมใจให้หมายอย่างนี้หรือ" คนไม่กินหมูตอบ การกินเนื้อกับกินผักเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันไม่มีข้อยุติเพราะต่างก็มีเหตุผลของตนเอง เพราะฉะนั้นควรยุติปัญหานี้ด้วยการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันใครมีสติปัญญาเห็นอย่างไรก็กินไปตามที่ตนเองเชื่อเพราะตามสัจธรรมใครประกอบกรรมเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องมาทะเลาะกันด้วยความเห็นที่แตกต่างกันเลย (ที่มา 1) ****ตอบ 2. ตรัสกแก่ หมอชีวก 2. ที่ สวนมะม่วง นอกเมืองราชคฤห์ (ที่มา 2) *****ที่มา 1. http://www.budpage.com/budboard/show_content.pl?b=1&t=12689 2. http://www.geocities.com/nibbanaram/Buddha/buddv4-142.html ถาม : สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง, กุสะลัสสูปะสัมปะทา, สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, เอตัง พุทธานะสาสะนัง, ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปปฆาตี สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต ปาติโมก จะ สังวะโร มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง อะธิจิตเต จะ อาโค เอตัง พุทธานะสาสะนัง ชื่อบทสวดคือ? และแปลว่าอะไร? :'( เอ่...จะเครียดกันหรือป่าวน้าาา!!!
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 กุมภาพันธ์ 2007, 15:25:18 โดย monotoneday »
|
บันทึกการเข้า
|
มิตรแท้...ต้องสัมผัสด้วยใจ..หาใช่เพียงผ่าน
|
|
|
|
|