NGV กับ LPG มีผลกระทบกับเครื่องยนต์มากแค่ไหน ?
ต้องยอมรับกันแน่นอนว่าการใช้แก๊สไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV ล้วนแต่ไม่ได้เป็นผลดีกับเครื่องทั้งนั้น การพัฒนาและทดสอบเครื่องยนต์ทุกบริษัทที่ผลิตเครื่องยนต์ต่างใช้น้ำมันเบ็นซินในการทดสอบทั้งสิ้น คุณสมบัติที่แตกต่างของเชื้อเพลิงส่งผลให้เครื่องยนต์ชำรุดก่อนกำหนด ซึ่งทั้งหมดล้วนมีปัญหาจากอุณหภูมิขณะสันดาปของเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
เกิดจากอ็อกซิเจนส่วนที่เหลือจากการสันดาป เชื้อเพลิงยิ่งสะอาดอุณหภูมิการสันดาปยิ่งสูง อาการแรกที่เจอะคือวาวล์ไอเสียยัน การขยายตัวของวัสดุผิดปกติ การแก้ไขคือการปรับจูนระบบให้มีการจ่ายแก๊สมากขึ้น ทีนี้จะเป็นผลให้ LPG ได้เปรียบ NGV เนื่องจากการเผาไหม้ LPG ทำได้เร็วกว่าในปริมาณการจ่ายแก๊สที่เท่ากัน ถ้าทำแบบเดียวกันนี้ในเครื่องยนต์ที่ใช้ NGV การเผาไหม้ในรอบสูงจะเผาไหม้ไม่ทันถึงแม้นจะใช้ตัวหน่วงเวลาการจุดระเบิดเข้าไปช่วย ถ้ามีการจ่ายแก๊สมากเกินไปจะทำให้ไอเสียที่ออกจาก
เครื่องยนต์เป็นแก๊สร้อนที่กำลังเผาไหม้อยู่อาจเป็นผลให้วาวล์ไอเสียชำรุด หรือแคตตาไลท์ติกของระบบไอเสียเสียหายได้ง่าย การแก้ไขคือต้องยอมให้เครื่องยนต์เผาไหม้แก๊สได้ตามปริมาณปกติ แต่สิ่งที่ได้ตามมาคือแรงม้าที่ถอยลงราวๆ 15 ? 20 % แต่ถ้าหากรถบางรุ่นไม่สามารถใส่ตัวหน่วงเวลาจุดระเบิดได้แรงม้าจะลดต่ำกว่านี้ ถ้า NGV ที่นำมาใช้มีค่ามีเทนที่สูงมากกว่า 70% ปัญหาเหล่านี้จะลดลงอย่างเห็นผล
เอาแบบคิดง่ายๆ ถ้าเทียบค่าพลังงานจากฐานเดียวกัน น้ำมันเบ็นซินเป็นอันดับ 1 ส่วน LPG ก็เป็นอันดับ 2 แล้ว NGV ก็เป็นลำดับที่ 3
อุปกรณ์ที่ใช้ ในชุด NGV จะใกล้เคียงกับอุปกรณ์ที่ใช้กับ LPG จะแตกต่างกันที่การลดแรงดันของไอแก๊ส เนื่องจาก NGV มีสถานะเป็นไอแก๊สแรงดันสูงจึงจำเป็นต้องลดแรงดันจาก 3200 Psi ลงเหลือประมาณ 120 ? 200 Psi ก่อนที่จะลดแรงดันเป็นขั้นที่สองเพื่อให้เหลือแรงดันใช้งาน 30 ? 50 Psi พร้อมกันนั้นเพื่อให้การเผาไหม้ของก๊าซเป็นไปอย่างสมบูรณ์จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมจำพวก ตัวหน่วงเวลาจุดระเบิด ( Spark Timing Advance ) เพื่อหน่วงเวลาจุดระเบิดก่อนศูนย์ตายบนของเครื่องยนต์จากทั่วๆไป 8 ? 12 องศา ไปเป็น 16 ? 22 องศา ก่อนศูนย์ตายบน ( TDC )
เพื่อให้เครื่องยนต์เผาไหม้ก๊าซให้หมดจดเนื่องจากค่าอ็อกเทนที่สูงขึ้นมากแถมยังต้องใช้ปริมาณก๊าซที่มากขึ้นด้วยเครื่องยนต์จึงสันดาปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ถังที่ใช้เก็บก๊าซต้องเป็นถังที่ทนแรงดันสูงที่มีใช้โดยทั่วๆไปเป็นถัง Type 1 ผลิตจากเหล็กรีดขึ้นรูปไม่มีรอยเชื่อมทนแรงดันได้มากกว่า 4000 Psi มีการทดสอบมาตราฐานที่สูงมาก แต่มีข้อด้อยที่น้ำหนักของถังที่สูง และท่อที่ใช้ส่งก๊าซจากถังเข้าสู่ระบบ จะเป็นท่อเหล็กหรือท่อสแตนเลส ทนแรงดันได้สูงไม่แพ้ถัง และราคาก็แพงพอสมควร
ส่วน LPG เนื่องจากมีสถานะเป็นของเหลวการเก็บจึงใช้ถังเหล็กไม่หนามากนักโดยทั่วไปถังจะหนาประมาณ 2.5 มม. เทียบกับถัง NGV ที่มีความหนาก็ราวๆ 8 มม. ถ้าจะคุยกันแบบเปิดอก ไม่ว่าเรื่องการติดตั้งหรือมาตราฐานต่างๆอุปกรณ์พวกนี้จะถูกกำหนดมาตรฐานเป็นสากลทุกอย่างก่อนนำมาขายให้ผู้บริโภค ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ปลอดภัยทุกตัวไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV แต่สิ่งที่ทำให้มาตราฐานของอุปกรณ์ตกต่ำ กลับเป็นผู้ติดตั้ง
LPG ติดตั้งง่ายหาอู่ได้เยอะซึ่งเป็นธรรมดาที่อาจมีงานฐานต่ำหลุดออกมาเนื่องจากความไม่รู้หรือมักง่าย แต่ NGV จะติดตั้งได้โดยทั่วๆไปต้องเป็นศูนย์หรืออู่ที่เข้าร่วมในโครงการของ ปตท. เท่านั้นการควบคุมดูแลจึงทั่วถึงและมีระดับ ส่วนจุดคุ้มทุนนั้น ต้องคิดกันด้วยพื้นฐานของราคาการติดตั้งอุปกรณ์กับราคาเนื้อแก๊สที่เราใช้ NGV การติดตั้งมีราคาสูงกว่า LPG ในระบบดูดประมาณ 2 เท่า ส่วนระบบฉีดจะต่างกันประมาณ 1 เท่าครึ่ง ส่วนค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิง NGV 1 ก.ก. ถ้าเทียบง่ายๆจะมีค่าพลังงานประมาณ LPG 1.2 ลิตร ถ้าใช้ NGV 1 ก.ก. ก็ต้องใช้ LPG 1.2 ลิตร ถ้าเอามาเทียบเป็นค่าใช้จ่ายก็ 8.5 บาท กับ 12.35 บาท (คิดราคา LPG ที่ 9.5 บาท/ลิตร ) หรือห่างกันราวๆ 30% ดังนั้นในระยะยาว NGV คุ้มทุนกว่า(ถ้าราคาก๊าซไม่ปรับขึ้น) ส่วน LPG ค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการใช้น้ำมันก็ 50% ขึ้นไป ต้องถามผู้ใช้ก่อนว่าแค่ไหนถึงจะพอใจ