อู้ยย...ยย น้องเรย์ครับคนอย่างพี่อ่ะ เลี้ยง มะเอียด้วยลำแข้ง จะมีข้อไหนตรงอีก อิอิอิ
จากข้อความนี้เลยฝากถึงข่าวพี่บุ๊งครับ
ถึงเวลา... หน้าที่พลเมืองดี เห็น"ผัวซ้อมเมีย"ต้องรีบแจ้ง
นับเป็น "ข่าวดี" ของคนทำงานเรื่องผู้หญิง เพราะเมื่อ 2 สัปดาห์ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว เรียบร้อยแล้ว โดยจะบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
"ข่าวดี" นี้ แน่นอนว่า ย่อมเป็น "ข่าวดีที่สุด" สำหรับผู้ถูกกระทำ เพราะสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทำโดยระวางโทษผู้กระทำจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท
เป็นการวางโทษให้เห็นอย่างรูปธรรมและชัดเจนหาก "ใคร" ก็ตามที่คิดว่า การทำร้าย "เมีย" , "ลูก" หรือคนในบ้าน เป็นเรื่องปกติ
กฎหมายฉบับนี้ยัง "ดีที่สุด" สำหรับ "เหยื่อ" ของความรุนแรง เพราะยังระบุในมาตรา 5 ด้วยว่า "ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ที่พบเห็นหรือทราบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ การแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้กระทำโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง"
นั่นหมายความชัดเจนว่า ต่อไปนี้
"เพื่อนบ้าน"หากพบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
"การที่จำเป็นต้องกำหนดให้ผู้พบเห็นมีหน้าที่ในการแจ้งความนั้น จุดประสงค์หลักเพื่อต้องการสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวไทย ให้ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ได้รับการแก้ไขทันเวลา" นางกิ่งแก้ว อินหว่าง รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว บอกถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้
รองผู้อำนวยการยังเล่าต่ออีกด้วยว่า ที่ผ่านมาจากการทำงานด้านผู้หญิงและได้พบเจอคดีความการทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวมานาน เห็นชัดเจนว่า หลายกรณีที่ถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านรู้แต่ไม่กล้าที่จะไปแจ้งความเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผัวเมียอย่าไปยุ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานความคิดของสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังว่า เรื่องของครอบครัวไม่ควรเข้าไปยุ่ง ทำให้คนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กไม่ได้รับการเยียวยา ต้องทนเห็นพฤติกรรมความรุนแรงเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา และเสี่ยงต่อการลอกเลียนแบบเป็นอย่างมาก
ทว่า...หากถามกันจริงๆ แล้วนางกิ่งแก้วยืนยันว่า "คนไทยยังไม่แล้งน้ำใจ" เพียงแต่ยัง "กังวล" เรื่องการฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท
"จริงๆ แล้ว เวลาที่ลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านรับรู้สิทธิต่างๆ หลายคนบอกว่า อยากช่วยเพื่อนบ้าน เวลาที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย แต่กลัวว่า ถ้าเขาคืนดีกัน เราจะกลายเป็นหมาหัวเน่า และอาจถูกฟ้องกลับได้ ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ จึงได้กำหนดให้คุ้มครองผู้แจ้งเหตุด้วย กรณีที่ผู้แจ้งเล็งเห็นแล้วว่าเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายอาจบานปลายเป็นอันตรายต่อผู้ถูกกระทำ เป็นไปด้วยเจตนาดี ก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดฐานแจ้งความเท็จหรือหมิ่นประมาท"
แม้กฎหมายจะเขียนว่า "เป็นหน้าที่" แต่พิจารณาแล้วจะพบว่าไม่ได้มีการระบุความผิด หากผู้พบเห็นเหตุการณ์ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ คนทำงานเพื่อผู้หญิง บอกว่า กฎหมายฉบับนี้มิได้มุ่งเป้าให้เกิดการลงโทษ แต่มุ่งการปลุกจิตสำนึกของคนในสังคมว่า หากพบเจอเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้ คนในสังคมควรจะช่วยกันดูแล เพื่อสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยการเกื้อกูล ช่วยเหลือ และปกป้องเหตุซึ่งกันและกัน เพราะตามกฎหมายฉบับนี้ เมื่อมีการแจ้งเหตุ ผู้รับแจ้งสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ถ้าเห็นผู้หญิงถูกซ้อม ถูกลาก ก็สามารถแยกตัวได้ และสามารถพาไปรักษาพยาบาลได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้ผู้ถูกกระทำได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
"ดิฉันเชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ผู้หญิง หรือเด็ก หรือคนในบ้านจะไม่ถูกทำร้ายมากขึ้น เพราะจริงๆ แล้ว ปัญหาเหล่านี้ คนในสังคมส่วนหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามี มันเป็นปัญหาหลบอยู่ใต้พรม อีกนัยหนึ่งคือ เป็นการป้องปรามพฤติกรรมของผู้กระทำด้วยว่า มีกฎหมายแล้ว น่าจะยั้งคิดได้มากขึ้น"
ความคิดเรื่องครอบครัวอย่ายุ่ง ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่หากเมื่อใดก็ตามมีการละเมิดสิทธิ์และเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย คนในสังคมก็มิควรอยู่นิ่งเฉย เพราะนั่นอาจหมายถึง "การช่วยชีวิต" คนคนนั้น 1 ชีวิต
เครดิต จากหนังสือพิมพ์ มติชน