:::CIVIC CLUB THAILAND:::

ที่บอกว่า เกียร์ ออโต้ ใส่ใส้ตรง หรือใส้ใหญ่ๆ หรือ เอาแคตออก ไม่มีพักกลาง  มัน "โล่งไป "  อยากรู้ว่าโล่งไปยังไง มีคำว่าโล่งไปเหรอ แล้วทำไมเกียร์ธรรมดาไม่โล่งไป
โล่งไปแล้วอืดยังไง ขอแบบมีหลักการนิดนึงนะครับ ขอบคุณมากๆครับ ไม่รู้จิงๆ  :o

น่าจะเหมือนคำว่า "หลวม" ไปมั่งครับ   ;D ;D


ต้องฟิตๆ ถึงจะดี


 ;D ;D ;D

ตอนผม Y8 ปลาย SPOON (ก๊อบ) ต้นดีปลายไม่ไหลครับหมดเร็ว  พอเปลี่ยนมา JS ใส้เกลียวดีต้นปลายไหล

พอมา B16 ใช้ท่อเดิม ดังแต่ท่อครับล้อไม่หมุน ได้เส้นกลาง มูเก็น 2.2 +ปลายJSเดิมออกตัวต่างกันชัดเจนครับ ถ้าได้ใส่ตรงน่าจะแจ่มกว่านี้

เครื่องทั้ง2ตัวผมเกียร์ธรรมดาหมดครับ


ปล.ไอ้ฟิตๆนี่ผมก็ชอบครับ  ;D ;D

ความรู้ทั้งน้านนนนนน :'( :'(ช่างเคยบอกเหมือนกันแต่ก็ไม่เข้าใจความหมาย ส่วนตัวเข้าใจว่าเวลาโล่งไปอัตราการเร่งมันคงไม่ดีมั้งมันจึงต้องอั้นไว้หน่อยนึง(สำหรับเกียร์ออโต้นะ)ส่วนMT คงไม่มีปัญหาอะไร  อันนี้เข้าใจไปเองนะเดี๋ยวรอผู้รู้จริงๆมาอธิบายดีกว่า :) :)

เอาแบบทฤษฎีนะครับ

ถ้าตอน ม.ปลาย ตั้งใจเรียนสัก 50% น่าจะพอเข้าใจบ้าง มันเป็นทฤษฎีของก๊าซง่ายๆ ครับ

เครื่องยนต์ไม่ได้เกิดแรงจากการจุดระเบิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แรงดันของก็าซร้อนและก๊าซเย็น ก็มีผลต่อรอบเครื่องว่าจะขึ้นไว หรือค่อยๆไต่ระดับขึ้นไป เวลาลูกสูบ "ดูด" เมื่อวาล์วเปิดลูกสูบถอยลง จะเกิดแรงดูดเพราะปริมา๖รในห้องจุดระเบิดมันมากขึ้น และ "อุณหภูมิที่เย็นกว่าจะดันอากาศไปหาที่ที่ร้อนกว่าในห้องจุดระเบิดด้วย" เรียกว่าเกิด 2 แรงพร้องกัน ตรงนี้ ไม่ว่าเครื่องอะไร มันต้องการช่องกว้างๆ เพราะระยะท่อมันไม่ยาว แรงคาบิลลารี่ไม่ค่อยมีผลมาก ท่อใหญ่ ลิ้นกว้างๆ จึงเป็นที่ต้องการของบรรดาเครื่องซิ่งทั้งหลาย

ทีนี้มาเข้าประเด็นท่อไอเสีย เคยคิดว่าทำไมรถทุกคันจึงออกแบบให้ปลายท่อไปโหล่ท้ายรถ นอกจากเรื่องความปลอดภัย เรื่องสุขภาพแล้ว "เรื่องแรงเครื่องยนต์" ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ท่อไอเสียควรจะ ยาวๆ ไว้ ขนาดซุปเปอร์คาร์ ท่อมันยังพยายามขดไปมาเพื่อให้ได้ระยะยาวที่สุด

เนื้องจาก เวลาคายไอร้อน มันตรงข้าวกับทีแรกถ้าไม่มีเทคนิค อากาศเย็นจะพยายามดันย้อนกลับเข้าเครื่องเพื่อลดผลตรงนี้ ท่อก็เลยเอาที่เย็นๆ ไปไว้ไกลๆ หน่อย แต่มันไม่ใช่ประเด้นหลัก ประเด็นมาอยู่ที่แรงคาปิลลารี่

เคยสังเกตไหม น้ำในสายยางขนาดครึ่งนิ้วยาวๆ เวลาเปิดไหลไป เวลาปิดมัน มันเหมือนจะมีแรงกระตุกจากน้ำในสายยางที่มันไหลเร็วๆ มันกระตุกแรงจะบางครั้งก๊อกน้ำอาจเสียหายได้ ช่างที่มีประสบการณ์จะเปลี่ยนเป้นสายยางที่ใหญ่ขึ้นโดยใช้ก๊อกเดิม เวลาเปิดน้ำมันก็ไหลเอื่อยๆ เวลาปิด มันก็ไม่มีแรงดูด มากนัก

เช่นกัน ไอเสียเวล่ผ่านท่อขนาดเล็กๆ มันจะวิ่งเร็ว แต่ถ้าเล็กเกินไป มันก็เกิดอาการ "อั้น"  คือไอเสียวิ่งไม่คล่องมันก้เลยต้องอาศัยลูกสูบ "อัด" ไล่มันออกตามท่อ ยิ่งยาวเท่าไหร่ มันก้ยิ่งอั้น ยิ่งอั้นก้ยิ่งต้องใช้แรง อัด เครื่องมันก็เสียกำลังไปมาก

ถ้าท่อขนาดพอดีๆ มันจะไม่มีอาการอั้นในขณะที่ไอเสียวิ่งได้เร็วที่สุด ตรงนี้ จะเกิดแรงดูดตามธรรมชาติที่เรียกว่าแรงคาปิลลารี่ ช่วยดูดไปเสียออกจาก้หองเผาไหม เมื่อไอเสียถูกดูด ลูกสูบก็ถูกดูดตามขึ้นมาด้วย มันก้เท่ากับว่าแรงดูดตรงนี้ ไปเพิ่มแรงม้าให้เครื่องยนต์ด้วย ท่อยิ่งยาวเท่าไหร่ แรงดูดก็ยิ่งมาก ก็เลย ออกแบบรถให้มีท่ออยู่ท้ายรถเลย

ถ้าท่อมันใหญ่ไป อากาศ ก็ถูกคายได้ง่าย แต่มันไม่มีแรงดูดมาช่วย มันก็เลย อาศัยแรงจากลูกสูบมาดันออกอย่างเดียว มันก็เลยกลายเป้นว่ารู้สึกเครื่องมันแรงหายๆ ไปบางส่วน ที่บางคนบอก "โล่งไป" ไงล่ะ

อธิบาย ง่ายๆ ไม่ได้ยกสมการอะไรมาอธิบาย คิดว่าพอเห็นหลักการนะครับ  :o

ได้ยินอะไรฟิต ฟิต  ::)

คุณpulanet อธิบายจนกระจ่างเลยครับ  :)

ขอบคุณมากๆครับ ผมชอบคุณจิงๆนะครับ ตามอ่านหลายกระทู้แล้วครับ อีกนิด แล้วทำไม เกียร์ออโต้ ถึงบอกว่าต้องใส้ย้อน ใส้เยื้องครับ ยิงตรงออกจะอืด แล้วเกียร์ธรรมดาไม่เกี่ยวเหรอครับ ยิงตรงได้

อีกอย่าง ทำไมรถพวก Top fuel ถึงทำท่อสั้นๆอ่ะคับ

ขึ้นอยุ่รถเกียร์ออร์โต้เดิมหรือไม่เดิม  หมายถึงทำมาบ้างเช่น ของผมปาดฝามา 1 มม.กว่า กล่องจุลแล้ว เปิดพอทไอดีเสีย แก๊สระบบดูด ใส่เฮดเหล็ก เลส 2 นิ้ว มีพักกลางตรงหนึ่งใบ แล้วลองถอดหม้อพักปลายออก ต้นก็ไม่อืดนะปลายก็ไม่อั้นด้วยตอนนี้ยากลอง 2.2 นิ้ว กับ 2.5 นิ้วกว่าจะเป็นอย่างไร  แต่ถ้าเดิม ๆ เหมือนเราดูน้ำในแก้วโดยใช้หลอดที่พอดีเราจะใช้แรงดูดน้อย   แต่ถ้าเราใช้หลอดใหญ่ขึ้นเราต้องใช้แรงดูดมากขึ้นจะไม่มีแรงดูด

ท่อสำนักแต่งดังๆ จะมีลิ้นภายใน เพื่อรักษาแรงคาปิลลารี่ให้สูงสุดไว้ตอนรอบต่ำ ไอเสียวิ่งช้า ก็เพิ่มระยะทางให้มันยาวออกอีกนิด ส่วนพอรอบสูงก็หดระยะท่อเพื่อลดฟริกชั่นไม่ให้เกิดอาการอั้นไอเสีย

ส่วนเรื่องเกียร์ออโต้ นี่อธิบายยากหน่อย นึกถึงลูกโป่งใส่น้ำอ่ะ มันจะเหมือนสริงใช่ไหม อากาศในพักกลางจะเปรียบเหรือลูกโป่ง ที่มันมีลักษณะเป็นสปริงที่หน่วงจังหวะการเกิดแรงคาปิลลารี่สูงสุดไว้ ซึ่งมันจะไปตรงกับจังหวะที่ทอร์คส่งแรงเต็มที่ไปที่เพลาเฟืองเกียร์พอดี เมื่อจังหวะมันตรงกัน แรงม้ามันก็ออกมาที่ล้อได้สูงสุด เราก็เลยวิ่งดี

แต่ถ้าไม่มีพักกลาง เจ้าแรงดูดของไอเสียมันเกิดขึ้นแบบเนิบๆ ไม่มีการสะสมจังหวะไว้ มันก็เท่ากับว่า ไม่มีจังหวะที่มันทำงานพีดขึ้นมาก เราก็เลยรู้สึกตื้อๆ ไป ไอ้จังหวะตรงนี่ทดลองได้ ลองเอาพักกลางลูกโตกว่าเดิมมาใส่ให้จังหวะมันเสียไป หรือขยับให้มันเปลี่ยนตำแหน่งไปมากๆ อาการตื้อจะเกิดขึ้นมาเลยทีเดียว

เผยความลับสำนักท่อที่ใส่แล้ววิ่งให้นิดนึง คือ แรงคาปิลลารี่จะเกิดมากขึ้นถ้าปลายของท่อนั้นตีบลงเล็กน้อย เหมือนปลายของบิวเร็ตในห้องแล็บถ้าใครจำได้

ไม่ต้องเชื่อผมมากก็ได้ ผมแน่นแต่หลักการทางเคมีฟิสิกส์ แต่เรื่องช่างแค่เปลี่ยนหัวเทียนยังแย่เลย วิ่งหาประแจปอนด์ซะงั้น  :'(

ขอบคุณครับ งั้นผมว่าท่อเดิมแน่นอนที่สุดละครับ ที่บอกว่าโล่งไปๆ มันก็ไม่เสมอไปใช่ไหมครับ บุคลิกของเครื่องแต่ละ Block ต่างกัน ท่อก็ต้องต่างสูตรกัน แบบว่า ลางเนื้อชอบลางยา
 ;) ;)

ถูกต้องครับไม่มีสูตรตายตัวแล้วแต่ความชอบชองแต่งละคนและชองแต่ละเครื่องที่ทำมาที่ต่างกันครับ

แล้วถ้าเกียร์ AUTO ทะลวงแคตออกไปแล้ว มันจะทำให้โล่งเกินเปล่าครับ แล้วจะส่งผลให้อืดเปล่าครับ  ::)

ต้องลองขับดูครับ  ถ้าเราชอบก็โอเคครับ  ปรับเปลี่ยนตามความของเราเลยครับ

ท่อเดิมโรงงานทเค้าเน้นไปที่ "ประสิทธิภาพ" ครับ ในความหมายของเค้าคือ "แรงที่สุดเมื่อประหยัดที่สุด"

ที่เราทำๆ กัน เราตัดเงื่อนไขประหยัดที่สุดออกไป นั่นคือ ท่อมันจะขยายจากเดิมได้อีกนิดหน่อย ถ้าเอารอบปลาย ถ้าเอารอบต้นๆ ก็ท่อขนาดเดิมไปทำเฮดเดอร์เพื่อเรียงไอเสียให้เนียน ถ้าเป็นผม เอารอบต้นสำหรับเกียร์ออโต้ ผมจะไปใส่ปลายท่อแบบวน

ทะลวงถ้าไม่ได้หมายถึงการตัดออกไปทั้งยวงแล้วเอาแป๊บมาเชื่อมเข้าไปแทนที่ก็จะต่างนิดหน่อยครับผม  ไม่โล่งเกินไปหลอก
หน้าที่ของแคต คือนำไอเสียที่ยังเผาใหม้ไม่สมบูรณ์มาใช้อีกเพื่อความประหยัดและลดมลพิษครับ
ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดานี่ตัดแคตออกวิ่งขึ้นด้วยซ้ำ 

มาร์คหน้านี้เอาใว้ อิอิ ความรู้ทั้งน้าน ;) :-*