หัวข้อ: สูตรยาที่ที่หาไม่ยาก เพียงแต่เราไม่รู้ เริ่มหัวข้อโดย: jookninja ที่ 04 พฤศจิกายน 2008, 10:09:03 >
> สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ ' > ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ' เช่น > 1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด > น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จ ะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง > > 2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว > 3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมัน > ไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด > > 4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็น ประจำ > สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี > > 5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง > > 6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า > ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) > น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง > > 7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก > และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป > > 8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว) > กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้ > > 9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย > ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้ > > 10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด > ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้ > > 11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ > ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี > > 12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง > กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย > > 13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง > > 14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี > โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี > ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม > ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต > > 15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ > อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน > > 16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี > ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้ > > 17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก > ช่วยให้อาการปั่นป่วน ในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง > > 18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต ' > ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้ > > 19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี > ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง > > 20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง > ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ > > พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง > คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร > โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน > ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพย ากรธรรมชาติของ > เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า > และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ > ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป. > > อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย > 1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ > ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ > หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด > เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้ > > 2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ > หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง > > 3. มะเร็งรังไข่ อาการ > ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ > & nbsp; มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง > > 4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) > อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว > หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง > ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง > > 5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ > มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ > เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน > > 6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร > น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด > > 7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ > > 8. มะเร็งสมอง อา การ ปวดศีรษะนาน ๆ > และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า > และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ > การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว > ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย > > 9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก > < SPAN lang=TH>หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน > > > 10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที > มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน > ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ > > 11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร > อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวด เร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย > รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ > > 12. มะเร็งทรวงอก > อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ > บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 > คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น > เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ > ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่ > > 13. มะเร็งลำไส้ อาการ > น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ > **** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ > ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ > อาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้ > > 14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง > อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ > เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย > > 15. มะเร็งผิวหนัง > อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง > ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา > (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น > กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด > ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ > ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล > ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน วิธีรักษา - ไปที่ร้านย าจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน > นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม > สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ > นำส่วนที่เหลือมารับประทาน > ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ > เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ > > *** ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็น เงินค่ารักษา > และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด > หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน > ท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข ความสมหวังทุกประการ ที่มา Forwarded Mail 8) 8) 8) หัวข้อ: Re: สูตรยาที่ที่หาไม่ยาก เพียงแต่เราไม่รู้ เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นตระกูล ที่ 04 พฤศจิกายน 2008, 14:30:22 น่าสนใจมากครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: สูตรยาที่ที่หาไม่ยาก เพียงแต่เราไม่รู้ เริ่มหัวข้อโดย: Mr.t.s ที่ 04 พฤศจิกายน 2008, 14:39:57 แจ่มเลยอ่ะ :P :P
|