ผู้ชมภาพยนตร์โวยโรงหนังเอาเปรียบ ฉายโฆษณาสินค้านาน 15 นาที บอกเสียเวลามาดูหนังไม่ใช่มาดูโฆษณา บี้ลดค่าตั๋วแลก สคบ.รับ กม.คุมไม่ถึง ชี้ถ้าไม่อยากดูให้เข้าทีหลัง บิ๊กเมเจอร์รับปรับปรุงพฤติกรรมผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ส่อเอาเปรียบผู้บริโภคเกิดขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่กรณีขึ้นราคาค่าตั๋วเข้าชมภาพยนตร์ ล่าสุด ผู้ประกอบการได้นำหนังโฆษณาสินค้ามาฉายนานเกือบ 15-20 นาที ก่อนฉายภาพยนตร์ตัวอย่าง และภาพยนตร์จริง ทำให้ผู้ชมจำนวนมากเริ่มมีปฏิกิริยาไม่พอใจ เพราะนอกจากตั๋วมีราคาแพงตั้งแต่ 120-140 บาทแล้ว ยังต้องเสียเวลาเพิ่มโดยใช่เหตุ พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลในปัญหาดังกล่าวนายภาสกร สุเรจาริก อายุ 23 ปี ผู้ชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์
"พารากอน ซีเนเพล็กซ์" เป็นประจำ กล่าวว่า โรงภาพยนตร์ฉายโฆษณาก่อนหนังฉายมากเกินไป คนดูไม่คิดว่าต้องมาดูและไม่ต้องการดู เฉพาะโฆษณาสินค้าไม่รวมตัวอย่างภาพยนตร์ ก็ใช้เวลา 5-6 นาทีแล้วทำให้รู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบ เข้าใจว่าโรงภาพยนตร์ต้องมีสปอนเซอร์ มีลูกค้า แต่ก็เป็นคนละประเด็น ถ้าจะฉายโฆษณาก็ต้องลดราคาตั๋วหนังลงด้วย ไม่ใช่ให้ผู้บริโภครับภาระตรงนี้
"ตัวอย่างหนังรับได้ เพราะเราอยากรู้ว่ามีหนังอะไรเข้าต่อไป แต่รับไม่ได้กับโฆษณาสินค้าเพราะยังมีช่องทางอื่นๆ อีกมากที่จะโปรโมตสินค้าได้ และคนดูไม่ได้ตั้งใจมาดูโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งใช้เวลาเยอะมากในโรงภาพยนตร์ ทั้งที่สื่อภายนอกถูกห้ามไปหมดแล้ว มันชัดเจนว่าคุณทำธุรกิจกับคนดูการที่เราต้องมานั่งดูโฆษณา มันทำให้เสียเวลา เสียค่าที่จอดรถเพิ่มอีก" นายภาสกรกล่าว และว่า อยากให้ผู้บริหารโรงภาพยนตร์ลงมาสำรวจความคิดเห็นคนดูว่ารู้สึกอย่างไร อย่าคิดไปเองว่าจำนวนเวลาที่ใช้โฆษณานั้นเหมาะสมแล้วนายกฤษณะ ตันติคงชาญ อายุ 25 ปี กล่าวว่า โฆษณามีอยู่แล้วในโทรทัศน์ ไม่จำเป็นต้องมาฉายในโรงภาพยนตร์อีก บางครั้งทำให้รู้สึกอึดอัดและรำคาญ เพราะถ้าจะให้ดูแบบนี้ นั่งดูอยู่ที่บ้านก็ได้ ผู้ประกอบการควรจะใช้เวลาโฆษณารวมกับตัวอย่างหนังใหม่ให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หากยังฉายรวมกันเหมือนในปัจจุบันประมาณ 15-20 นาที รวมเวลาเข้ากันแล้วในหนึ่งวัน ผู้บริโภคอาจดูหนังได้มากกว่า 1-2 เรื่องก็ได้
"ผมรู้สึกว่าโฆษณามันเกินจำเป็น หลายตัวไม่จำเป็นต้องมีในโรงเลยก็ได้ เข้าใจว่าเจ้าของต้องหารายได้จากตรงนี้ด้วย แต่โรงภาพยนตร์เองมีค่าตั๋วแพงอยู่แล้ว คิดว่า น่าจะลดจำนวนโฆษณาลงได้" นายกฤษณะกล่าวนายนิโรธ เจริญประกอบ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า จากการพิจารณาในเบื้องต้นเห็นว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
คงไม่สามารถเอาผิดอะไรกับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ได้ เนื่องจากอำนาจกำกับดูแลของ สคบ.ทำได้เพียงควบคุมดูแลการโฆษณาไม่ให้เป็นเท็จ เกินจริง หรือเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค เท่าที่ตรวจสอบดูก็ยังไม่พบว่ามีโฆษณาอะไรที่จะเข้าข่ายดังกล่าว นอกจากนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ร้องเรียนถึงกรณีดังกล่าวเข้ามาที่ สคบ.
อย่างไรก็ตาม สคบ.เข้าใจความรู้สึกของผู้บริโภคที่ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ เพราะมีวัตถุประสงค์หลักคือต้องการชมภาพยนตร์ ไม่ได้ต้องการชมโฆษณาจำนวนมาก จนรู้สึกรำคาญ และเห็นว่ากำลังถูกผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของผู้บริโภค ขอให้ประชาชนร้องเรียนมายัง สคบ. แม้จะมีเพียงไม่กี่ราย แต่จะช่วยให้ สคบ.สามารถนำข้อร้องเรียนของประชาชนขึ้นมาตั้งเป็นประเด็น และเชิญผู้ประกอบการมาหารือและขอความร่วมมือต่างๆ ได้มีเหตุผลมากขึ้น
"เรื่องเวลาโฆษณาก่อนฉายหนังที่กินเวลาค่อนข้างมาก เราได้เคยหารือกับผู้ประกอบการแล้ว แต่ได้รับคำตอบกลับมาว่ามันเป็นประเพณีของการฉายหนังที่จะต้องมีโฆษณาก่อน ซึ่งไม่มีกฎหมายตัวใดกำหนดเอาไว้ ทำให้ สคบ.ไม่สามารถไปบังคับให้ผู้ประกอบการตัดโฆษณาออกไป หรือเอาผิดอะไรได้ ดังนั้น ทางออกคือ ทุกคนมีอิสระที่จะเข้าโรงหนังเวลาไหนก็ได้ หากไม่ต้องการดูโฆษณา ก็อาจเข้าช้ากว่าเวลาสัก 10-15 นาทีก็ได้ หรืออาจจะเลือกไม่เข้าโรงหนังเลยก็ได้" รองเลขาธิการ สคบ.กล่าว และว่า สคบ.จะเข้าไปจัดการได้ในกรณีเดียวเท่านั้น คือพบว่าผู้ประกอบการตัดทอนสาระสำคัญและเวลาภาพยนตร์จากที่กองเซ็นเซอร์ภาพยนตร์พิจารณาไว้ออกไปมากเกินความจำเป็น ขณะที่เวลาโฆษณามีมากขึ้น จึงจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษทั้งจำทั้งปรับ ทางด้านนายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า
ขณะนี้การโฆษณาในโรงภาพยนตร์เริ่มเป็นที่นิยม จนทำให้มีคนพูดกันบ้างว่าโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์มีโฆษณาหลายชิ้นและใช้เวลานาน แต่ส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่ได้มากอย่างที่มีคนคิด เพราะใช้เวลาโฆษณาเพียง 8-10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ก็มีหนังตัวอย่างประมาณ 20 นาที อย่างไรก็ดี ถ้ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มามากๆ อาจจะต้องคุยกันเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมอีกครั้ง "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะพยายามปรับ ไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่านานจนเกินไป" นายอนวัชกล่าวที่มา : มติชน