ทั่วโลกกำลังรณรงค์ให้ทุกคนได้ตระหนักในอันตรายอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อย่างที่ผ่านไปหมาดๆ กับ ?Live Earth? คอนเสิร์ตชีวิตและโลกที่จัดพร้อมๆ กันถึง 9 เวทีทั่วโลกภายใต้การผลักดันของอดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ของสหรัฐอเมริกา
อย่ากระนั้นเลย แม้เราจะแค่ทำงานอยู่ในออฟฟิศก็สามารถช่วยกันคนละไม้คนละมือในการกู้วิกฤตโลกร้อนได้ ด้วยวิธีที่คัดสรรมาที่ล้วนง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากทั้งนั้น01.
การปิดไฟและปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งานให้ติดเป็นนิสัย ก่อนจะออกไปทำธุระที่กินเวลาค่อนข้างนานข้างนอก แม้แต่ช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน หรือช่วงพักเบรคเพื่อให้สมองปลอดโปร่งก่อนกลับมาลุยงานต่อ
ถ้าพนักงาน 10 ล้านคนปิดไฟที่ไม่ใช้วันละ 30 นาที ก็เพียงพอแล้วสำหรับเก็บพลังงานดังกล่าวไปใช้ในพื้นที่สำนักงานแห่งอื่นๆ อีกตั้ง 50 ล้านตารางฟุต
02.
หลายคนอาจเคยได้รับจดหมายหรือแคตตาลอกขายสินค้า เพราะบังเอิญว่าไปสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตการ์ด หรือบัตรส่วนลดช็อปปิ้ง รู้หรือไม่ว่ามีการทำสำรวจจากหลายสถาบันระบุว่าครึ่งหนึ่งของจดหมายขยะมักไม่ถูกเปิดอ่านเลย
นั่นหมายความว่าต้นไม้ 62 ล้านต้นและน้ำอีก 28 พันล้านแกลลอนต้องสูญเปล่าไปกับกระบวนการผลิตกระดาษที่สูญเปล่า
ทางที่ดีก่อนที่นำจดหมายขยะไปทิ้งเหมือนทุกครั้ง อย่าลืมโทรแจ้งกับบริษัทต้นทางที่ส่งจดหมายแล้วบอกว่าคุณไม่ต้องการจะรับจดหมายนี้อีกแล้ว และให้เหตุผลเก๋ๆ ไปว่าเพราะต้องการ
?ลดปัญหาโลกร้อน? หรือถ้าอยากจะส่งก็ส่งมาทางอีเมล์แล้วกัน
03.
กดปุ่มปิดหน้าจอมอนิเตอร์หรือจอคอมพิวเตอร์ หรือปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้งาน ส่วนความคิดที่ว่าการใช้ภาพเคลื่อนไหว 3 มิติมาช่วยรักษาหน้าจอขณะไม่ใช้งานนั้นไม่ได้ช่วยลดปัญหาโลกร้อนเท่าไร เพราะภาพกราฟิกที่ใช้พักหน้าจอหรือสกรีนเซฟเวอร์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าช่วยยืดอายุการใช้งานของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้นานขึ้นเท่านั้น เอาไว้ถ้าไปไหนสัก 5 -10 นาทีแล้วจะกลับมาทำงานต่อค่อยใช้ฟังก์ชั่นดังว่าแล้วกัน
04.
ใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปจะประหยัดพลังงานกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป
05.
หันมาใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ อันนี้ขึ้นอยู่กับความอึดของแต่ละคน เดินขึ้นลงบันไดชั้นสองชั้นก็น่าจะเพียงพอ เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานยังได้บริหารร่างกายไปด้วย
06.
เอกสารภายในสำนักงาน พวกจดหมายเวียนหรือเมโมที่ไม่ค่อยเป็นทางการนัก
หากจำเป็นปรินต์ก็อย่าลืมใช้กระดาศรียูส (Reuse) และ
เปลี่ยนโหมดปรินเตอร์ให้เป็นแบบขาวดำ ไม่ใช่ว่าเน้นนโยบายประหยัด (ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีนะจะว่าไปแล้ว) แต่การที่ปรินต์เอกสารโดยใช้หมึกขาวดำจะช่วยลดการใช้น้ำยาปรับสี ส่วนกรณีที่จะปรินต์เอกสารหลายเหมือนๆ กัน ก็เลือกใช้กระดาษที่มีสำเนา
07. ถ้าต้องการ
ซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าออฟฟิศ เลือกชิ้นที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล08.
บางครั้งการทำงานนอกออฟฟิศ หรือบางอาชีพ เช่นนักเขียนที่บางวันไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงาน แต่
สามารถนั่งทำงานอยู่ในบ้านได้ก็จะช่วยลดการใช้รถใช้ถนน รวมถึงการใช้เครื่องมือสื่อสารเช่นโทรศัพท์มือถือให้เป็นประโยชน์ในกรณีที่ต้องแจ้งกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานโดยที่ไม่ต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ ก็จะช่วยประหยัดพลังงานได้เหมือนกัน หรือใครมุ่งมั่นสุดๆ อาจไม่ขับรถมาทำงานในบางวัน แล้วลองหันไปนั่งรถโดยสารสาธารณะ หรือรถไฟใดดิน, รถไฟฟ้า ก็จะลดปัญหาโลกร้อนได้อีกวิธีหนึ่ง
09. แนวคิดนำ
วัสดุใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ยังใช้ได้อยู่ ในปีหนึ่งๆ ชาวอเมริกันมีขยะกระดาษมากถึง 35 ล้านตัน พวกเขาจึงคิดใช้ประโยชน์จากขยะกระดาษด้วยการนำไปผลิตกระดาษนำกลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดการก่อมลภาวะทางอากาศได้ถึงร้อยละ 74 แถมยังลดการตัดไม้ทำลายป่าด้วย
10.
เวลาเลือกซื้อสินค้าแต่ละครั้ง ควรตรวจดูว่าสินค้าชิ้นนั้นๆ ผลิตจากวัสดุใช้แล้วกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าของชิ้นนั้นมีวัสดุที่ใช้แล้วมากถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ซื้อสินค้าที่โรงงานผลิตต้องนำวัสดุใหม่มาเป็นส่วนประกอบเลย รวมถึงการเลือกซื้อกระดาษที่ไม่ได้ใช้สารคลอรีนฟอกก็จะช่วยลดการก่อมลภาวะได้มากกว่ากระดาษทั่วไป
11. บางออฟฟิศมีแก้วกระดาษเล็กๆ สำหรับผู้รับแขก หรือพนักงาน หากเลี่ยงได้ก็อย่าใช้
ให้นำแก้วส่วนตัวมาจากบ้าน ใช้แล้วล้างก็จะใช้ได้อีกเรื่อยๆ (อย่าลืมว่ากระดาษผลิตมาจากต้นไม้ที่สร้างความร่มเย็นแก่โลกนะจ๊ะ) หรืออย่างที่เมืองนอก ในร้านกาแฟสตาร์บั้ค เขาก็มีนโยบายการนำแก้วกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยลดค่ากาแฟให้ถูกลงด้วย
12.
ทำงานโดยอาศัยแสงธรรมชาติบ้าง (ถ้าจุดที่คุณทำงานมีแสงธรรมชาติส่องถึง)
13. ข้อนี้ที่สุดของที่สุดเลย
แม้ว่าเราจะปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าไปแล้วก็ใช้ว่าจะไม่สิ้นเปลืองพลังงาน เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง อย่างเช่นสายชาร์จโทรศัพท์มือถือหรือจะเป็นอแด๊พเตอร์สำหรับแล็ปท็อปที่ไม่ถอดปลั๊กออก จะกินไฟมากกว่า 20 วัตต์ การสูญเสียพลังงานแบบไม่ได้ถอดปลั๊กนี้ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กระจายขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 12 ล้านตันทีเดียว
รู้อย่างนี้จะอ้างว่าวันๆ ทำงานที่ออฟฟิศ จนไม่มีเวลาออกไปทำกิจกรมปลูกต้นไม้หรือกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาโลกร้อนกับคนอื่นๆไม่ได้แล้วนะ