อ่วม! น้ำมันทุกชนิดทำสถิติใหม่ผู้ค้าขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล พรุ่งนี้อีกลิตรละ40สตางค์ ส่งผลเบนซิน95อยู่ที่ลิตรละ31.19 บ. เบนซิน91อยู่ที่ลิตรละ30.39 ดีเซลลิตรละ 28.14 บาท บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ตัดสินใจปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดอีก 40 สตางค์ต่อลิตร มีผลพรุ่งนี้ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 31.19 บาท เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 30.39 ดีเซลลิตรละ 28.14 บาท ทุกชนิดทำสถิติใหม่ ขณะที่ปรับขึ้นราคาไบโอดีเซล อีกลิตรละ 10 สตางค์ เพื่อให้มีส่วนต่างจากดีเซล เพิ่มขึ้นเป็น 1 บาท จากเดิม 70 สตางค์ต่อลิตร เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้น้ำมันหันมาใช้ไบโอดีเซลมากขึ้น ด้าน นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าทางบางจากได้ตัดสินใจปรับขึ้นราคาน้ำมันตาม ปตท.แล้ว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จากการสำรวจ ?พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงเทพฯ? โดยกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้เกือบร้อยละ 80 มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 บาทต่อคน ซึ่งจัดเป็นชนชั้นระดับรากแก้วและชนชั้นกลางของประเทศได้รับผลกระทบอย่างมากและมีการปรับพฤติกรรมอย่างชัดเจน
ประเด็นสำคัญที่พบจากการสำรวจคือ ราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้มและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกที่ทำให้ราคาสินค้า และบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างต้องเร่งปรับตัวโดยการลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายด้านกิจกรรมสันทนาการ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งคนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างบางส่วนงด หรือลดการท่องเที่ยวในต่างประเทศ บางส่วนหันมาท่องเที่ยวในประเทศแทนการท่องเที่ยวต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดการใช้บริการสถานเสริมความงาม การสังสรรค์กับเพื่อน ๆ การดูภาพยนตร์ ชมคอนเสิร์ต รวมทั้งลดการซื้อหนังสือ หรือหนังสือพิมพ์ด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยคนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างลด หรืองดการไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ราคาไม่แพง หันมาทำอาหารรับประทานเองมากขึ้น งดหรือลดการดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ และหันมารับประทานอาหารสำเร็จรูป หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น
ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า - ประปา - โทรศัพท์ คนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในแต่ละครัวเรือนพยายามหามาตรการในการลดค่าใช้จ่าย โดยลดหรืองดการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ลดหรืองดการใช้เครื่องปรับอากาศ ลดการดูโทรทัศน์หรือวิดีโอ และลดการใช้โทรศัพท์มือถือ ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทาง คนกรุงเทพฯที่เป็นกลุ่มตัวอย่างหันไปพึ่งบริการรถสาธารณะมากขึ้น
ส่วนกลุ่มที่ยังจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวก็หันมาติดตั้งระบบก๊าซแทนน้ำมันมากขึ้น สำหรับงบค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพ คนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างหันกลับมาใช้บริการของโรงพยาบาลรัฐบาลแทนการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน รวมทั้งหันมาบริโภคอาหารเสริมสุขภาพที่ผลิตภายในประเทศทดแทนอาหารเสริมสุขภาพที่ผลิตจากต่างประเทศ รวมทั้งหันมาใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ผลของการปรับพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงเทพฯ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลากหลายประเภท โดยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการปรับพฤติกรรม ได้แก่ ธุรกิจจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูป สินค้าอุปโภคบริโภคประเภทเฮ้าส์แบรนด์ ธุรกิจบริการรถสาธารณะ ธุรกิจสถานีบริการก๊าซ ธุรกิจโรงพยาบาลรัฐบาลโดยเฉพาะบริการคลินิกพิเศษ
ธุรกิจผลิตภัณฑ์สมุนไพร ธุรกิจสินค้ามือสอง ธุรกิจรถเช่า ธุรกิจร้านค้าส่งเสื้อผ้า/เครื่องประดับ ธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ประหยัดไฟ และธุรกิจประกันภัย ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ต้องปรับตัวรับกับการปรับพฤติกรรม ได้แก่ ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารที่ต้องหันมาเน้นบริการส่งนอกสถานที่ และบริการจัดเลี้ยงนอกสถานที่มากขึ้น ธุรกิจผลิตน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลังฯลฯ ต้องหันมาเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
โดยเฉพาะน้ำผลไม้ กาแฟ/ชาสำเร็จรูปพร้อมดื่ม ธุรกิจสถานบริการเสริมความงาม ต้องปรับกลยุทธ์ลดราคาและเสนอบริการตามกระแสความนิยม ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่างๆที่เกี่ยวเนื่อง ต้องเน้นการปรับตัวเป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยม เช่น ธุรกิจโฮมสเตย์ และธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นต้น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ธุรกิจจัดคอนเสิร์ต และธุรกิจสถานบันเทิง เน้นการขยายธุรกิจไปครอบคลุมธุรกิจบันเทิงอื่น ๆ เน้นการให้บริการครบวงจรมากขึ้น.
ที่มา ไทยรัฐ