|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2016, 16:29:10 » |
|
เปลี่ยนยาง ขณะรถยางแตก ผู้หญิงก็ทำได้ ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนที่มีความสำคัญอันดับต้นๆของรถยนต์ ควรหมั่นเช็กสภาพยาง เติมลมยางทุกสัปดาห์ จะได้ไม่เกิดปัญหายางแตกกลางทาง ส่วนมากแล้วผู้ที่ประสบเหตุมักไม่เคยเปลี่ยนยางมาก่อนโดยเฉพาะคุณผู้หญิงแล้วละก็ เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะขับรถใกล้หรือไกล ผู้ขับขี่ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอเรามีขั้นตอนง่ายๆ เปลี่ยนยางรถยนต์ให้ถูกวิธี ไม่ว่าคุณผู้หญิงคุณผู้ชายก็ทำได้ไม่ยาก ขั้นตอนเปลี่ยนยางรถยนต์ 1.เช็กสภาพยางที่เสียหาย 2.รถเก๋ง เปิดฝากระโปรงท้าย นำยางอะไหล่ใต้พรหมออกมา 3.รถกระบะ ใช้เครื่องมือเฉพาะสำหรับนำยางที่อยู่ใต้ท้องรถด้านหลังออกมา (มีอยู่ในชุดเครื่องมือรถ) 4.คลายน็อตล้อก่อนขึ้นแม่แรง (ปลอดภัยกว่า) 5.ใช้แม่แรงค่อยๆยกรถขึ้น (ระวัง! วางแม่แรงผิด กลับหัวกลับหาง) 6.นำยางเก่าที่เสียหายถอดออก 7.นำยางอะไหล่ที่เตรียมใส่เข้าไป 8.ขันน็อตล้อกลับเข้าที่เดิมให้แน่นที่สุด 9.เก็บเครื่องมือ , แค่นี้ก็เรียบร้อย การเกิดปัญหา ยางรั่ว ยางแตก เกิดได้ด้วยหลายปัจจัยแต่ที่สำคัญมักเกิดจากการปล่อยปละละเลย ไม่เช็กสภาพยาง เมื่อถูกใช้งานก็ย่อมสึกหรอไปตามระยะทางและระยะเวลา การดูแลรักษายางรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นมีวิธีที่ถูกต้อง ดังนี้ วิธีดูแลสภาพยางรถยนต์ 1.เติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ 2.สลับยาง ระหว่างคู่หน้า – หลัง (เพื่อการสึกหรอที่เท่ากัน) 3.ถ่วงล้อ (เพื่อกระจายน้ำหนักที่ถูกต้อง) 4.ตั้งศูนย์ล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง 5.ใช้ยางรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ ไม่เพียงเท่านี้ผู้ใช้รถ ผู้หญิงหรือผู้ชาย นิสัยการขับขี่ส่วนบุคลลก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ยางสึกหรอ ยางรั่ว ยางแตก เช่น ออกรถ-หยุดรถอย่างรุนแรง ขับเบียดฟุตบาท ตกหลุม หักเลี้ยวอย่างรุนแรงกระทันหันบ่อยๆ หากทำตามคำแนะนำ ดังที่กล่าวมา จะลดปัญหา ยางแตก กลางทางได้ และหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา ก็สามารถเปลี่ยนยางด้วยตัวคุณได้ไม่ยากอย่างที่คิด...จบปิ๊ง http://auto.sanook.com/53597/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2016, 14:23:20 » |
|
อาการผิดปกติของ พัดลมหม้อน้ำ สำหรับรถยนต์ 1 คัน ต่างก็มีระบบมากมายแบ่งออกเอาไว้เป็นส่วนๆ และในเรื่องของเครื่องยนต์ก็มีแยกย่อยออกไปอีกเช่นกัน รวมไปถึงระบบระบายความร้อน ซึ่งหลักๆ แล้วเรามักจะนึกถึงแต่หม้อน้ำ เพราะมันถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ถ้าเกิดไม่มี พัดลมหม้อน้ำ มันก็คงจะเป็นงานหนักมากแน่ๆ สำหรับการทำงานของระบบระบายความร้อน และปัจจุบัน ส่วนมากพัดลมหม้อน้ำที่ใช้กันในรถรุ่นใหม่ๆ จะเป็นแบบไฟฟ้าแทบทั้งหมดแล้ว เพราะสามารถควบคุม และใช้ทำงานได้ง่ายกว่าแบบเก่า ที่ขับเคลื่อนด้วยสายพาน โดยใช้แรงหมุนจากเครื่องยนต์นั่นเอง แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นรุ่นไหนก็ตาม หน้าที่ในการทำงานของพัดลมหม้อน้ำก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งก็คือ ทำหน้าที่ระบายความร้อนให้เครื่องยนต์นั่นเอง ส่วนการดูแลรักษาพัดลมหม้อน้ำ จริงๆ แล้วแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่หมั่นตรวจดูสภาพ และการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ ว่ายังทำงานปกติดีหรือไม่ ซึ่งการตรวจเช็กนั้น ควรทำพร้อมกันกับการตรวจระดับหล่อเย็น จากนั้นตรวจดูใบพัดว่ามีความเสียหาย แตก หัก ตรงไหนบ้าง ถ้าให้ดี ตรวจดูกรอบ และโครงยึดด้วย ว่ายังติดแน่นในตำแหน่งเดิมรึเปล่า หรือมีตรงไหนหลุด เคลื่อนที่ไปบ้าง แต่ถ้าตรวจเช็กแล้ว พัดลมหม้อน้ำมีการทำงานผิดปกติดังนี้ 1. พัดลมหม้อน้ำทำงานตลอดเวลา ต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับพัดลมหม้อน้ำแน่นอน อาจจะเกี่ยวกับระบบหล่อเย็น หรืออาจจะเป็นที่ตัวควบคุมการทำงานของพัดลมก็ได้ ดังนั้นขั้นแรก ให้ฉีดน้ำไปที่หม้อน้ำก่อน (ห้ามฉีดน้ำไปที่ตัวมอเตอร์เด็ดขาด เพราะจะทำให้ชิ้นส่วนภายในเสียหาย หรือถ้าร้ายแรงมากๆ อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร) หากฉีดไปได้สักพักแล้วพัดลมหม้อน้ำหยุดทำงาน เป็นไปได้ว่า การระบายความร้อนของหม้อน้ำผิดปกติ เกิดความบกพร่อง เช่น สารหล่อเย็นมีไม่พอต่อการใช้งานในระบบ, ครีบระบายความร้อนมีอาการอุดตัน, ในหม้อน้ำมีสนิม หรือตะกรันเกิดขึ้น, ปั๊มน้ำเทอร์โมสตัทพัง ฯลฯ และหากฉีดน้ำไปพักนึงแล้ว จนรู้สึกได้ว่าความร้อนของเครื่องยนต์ลดลงเป็นปกติ แต่พัดลมยังไม่หยุดหมุน เป็นไปได้ว่า เทอร์โมสวิทช์ หรืออุปกรณ์ควบคุมการทำงานของพัดลมเจ๊งแน่นอน 2. พัดลมหม้อน้ำไม่หมุนไม่ทำงาน ให้ไปตรวจดูฟิวส์ก่อนเป็นอันดับแรก ว่าเสียรึเปล่า (ดูตำแหน่งของฟิวส์ได้จากคู่มือรถยนต์รุ่นนั้นๆ) หากเช็กดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไปดูขั้วเสียบ และสายไฟเป็นอันดับต่อไป แต่ถ้าตรวจแล้วไม่มีอะไรเสียหายอีก จุดต่อไปที่ต้องดูก็คือ ตัวพัดลม หรือวงจรควบคุม ซึ่งในส่วนนี้เราไม่สามารถซ่อมแซม หรือแก้ไขอะไรได้ คงต้องนำรถเข้าไปตรวจสอบดูที่ศูนย์บริการ หรือไม่ก็อู่ซ่อม เพื่อให้ช่างผู้ชำนาญงานเช็กดูให้ เนื่องจากวงจรควบคุมของรถบางรุ่น ทำงานเชื่อมต่อร่วมกับกล่อง ECU หรือกล่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้นหากเราซ่อม หรือแก้ไขเองแล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นมา มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจได้เสียเงินเพิ่ม เพื่อซ่อม หรือซื้อกล่อง ECU ตัวใหม่นั่นเอง http://auto.sanook.com/53801/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #91 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2016, 15:42:08 » |
|
- เลี้ยงแมวสู้ ไม่ว่าวิธีไหน ๆ ก็ยังแก้ไม่ได้ก็ลองหันมาเลี้ยงแมวดู โดยหนูมีสัญชาตญาณที่ไม่ชอบแมว แค่มีกลิ่นเจอแมวก่อกวนตลอด รับรองคุณจะไม่เจอหนูรบกวนอีกแน่นอน - ย้ายที่จอดรถ ถือว่าเป็นยอมแพ้เพื่อชนะ เพราะถ้าคุณไม่สะดวกเลี้ยงแมว หมดลูกเหม็นหนูมาใหม่ กำจัดเท่าไหร่หนูก็ไม่หมด จอดรถหน้าบ้านก็ย้ายมาจอดในบ้านเสียจะได้ควบคุมได้ หรือมีพื้นที่จอดในบ้านเยอะ ปรับตำแหน่งจอดให้ห่างท่อ ห่างครัว ห่างถังขยะ ก็ลดความเสี่ยงลงได้เยอะ แน่อนว่าการป้องกันและกำจัดหนูในห้องเครื่องรถ หนูเข้ารถยนต์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะหนูชุดใหม่สามารถแวะมาเยี่ยมเยือนได้เรื่อย ๆ ถ้าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยทางที่ดีเรามารักษาความสะอาดรอบ ๆ บ้าน รอบ ๆ ที่จอดรถให้ดีจะได้ปลอดหนูอย่างยั่งยืนครับ http://car.kapook.com/view151786.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #92 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2016, 15:32:01 » |
|
ยอดขายรถยนต์พฤษภาคม 2016 เพิ่ม 16% เป็นบวกสองเดือนติด สัญญาณดีตลาดฟื้น ยอดขายรถยนต์พฤษภาคม 2016 ขาย 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0% เป็นบวกต่อเนื่องสองเดือนติด สะสม 5 เดือนขาย 302,581 คัน ลดลง 2.0% นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2559 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0% - รถยนต์นั่ง 25,050 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% - รถเพื่อการพาณิชย์ 40,985 คัน เพิ่มขึ้น 21.2% - รถกระบะขนาด 1 ตัน 33,549 คัน เพิ่มขึ้น 29.8% ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนพฤษภาคม 2559 ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0% อันดับที่ 1 โตโยต้า 22,307 คัน เพิ่มขึ้น 23.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.8% อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,757 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 19.3% อันดับที่ 3 ฮอนด้า 9,812 คัน เพิ่มขึ้น 10.6% ส่วนแบ่งตลาด 14.9% ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 25,050 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% อันดับที่ 1 โตโยต้า 8,896 คัน เพิ่มขึ้น 19.6% ส่วนแบ่งตลาด 35.5% อันดับที่ 2 ฮอนด้า 7,177 คัน เพิ่มขึ้น 18.4% ส่วนแบ่งตลาด 28.7% อันดับที่ 3 มาสด้า 2,230 คัน เพิ่มขึ้น 13.5% ส่วนแบ่งตลาด 8.9% ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 33,549 คัน เพิ่มขึ้น 29.8% อันดับที่ 1 โตโยต้า 12,842 คัน เพิ่มขึ้น 32.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ 11,649 คัน เพิ่มขึ้น 19.1% ส่วนแบ่งตลาด 34.7% อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 2,950 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 8.8% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 4,645 คัน โตโยต้า 1,832 คัน มิตซูบิชิ 1,203 คัน อีซูซุ 1,100 คัน ฟอร์ด 460 คัน เชฟโรเลต 50 คัน ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 28,904 คัน เพิ่มขึ้น 22.4% อันดับที่ 1 โตโยต้า 11,010 คัน เพิ่มขึ้น 20.6% ส่วนแบ่งตลาด 38.1% อันดับที่ 2 อีซูซุ 10,549 คัน เพิ่มขึ้น 20.2% ส่วนแบ่งตลาด 36.5% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,279 คัน เพิ่มขึ้น 30.5% ส่วนแบ่งตลาด 7.9% ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 40,985 คัน เพิ่มขึ้น 21.2% อันดับที่ 1 โตโยต้า 13,411 คัน เพิ่มขึ้น 26.9% ส่วนแบ่งตลาด 32.7% อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,757 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 31.1% อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 2,950 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 7.2% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อีกทั้งเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์นั่งครั้งแรกในรอบ 36 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 และที่น่าสนใจคือยอดขายรถทุกกลุ่ม โตโยต้า กลับมาครองแชมป์ได้ทั้งหมดอีกครั้งหลังจากที่ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเสียแชมป์ให้ฮอนด้ามาหลายเดือน กลุ่มกระบะเองก็โดนอีซูซุเบียดแซงอยู่อยครั้งครับ http://car.kapook.com/view151284.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #94 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2016, 11:36:13 » |
|
4 เทคนิคเลี่ยงใบสั่งจับความเร็ว ได้ผลชัวร์! รถยนต์รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน ถูกพัฒนาให้สามารถขับด้วยความเร็วสูงได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทาง กฎหมายก็ยังคงจำกัดความเร็วไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด จึงขอแนะเทคนิค 4 ข้อที่ช่วยให้รอดพ้นจากเครื่องตรวจจับความเร็วได้ จะมีอะไรบ้าง? 1.รู้จักกฎหมาย ปัจจุบันพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับ 8 พ.ศ. 2551 กล่าวโดยสรุปได้ว่า รถยนต์ส่วนนั่งบุคคลให้ใช้ความเร็วในเขตเมืองไม่เกิน 80 กม./ชม. นอกเมืองไม่เกิน 90 กม./ชม. แต่สำหรับถนนบางเส้นได้มีการอนุโลมให้ใช้ความเร็วได้มากขึ้น เช่น ถนนมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 120 กม./ชม. ทางด่วนและทางพิเศษบูรพาวิถีไม่เกิน 110 กม./ชม. เป็นต้น 2.รู้จักตำรวจ หากเป็นเส้นทางที่เราคุ้นเคยและใช้เป็นประจำ ก็คงพอจะทราบว่ามีการตั้งกล้องจับความเร็ว หรือตั้งจุดสกัดเอาไว้ช่วงไหนบ้าง แต่ในกรณีที่ต้องใช้เส้นทางที่ไม่ชำนาญ ก็อาจลองค้นดูในกูเกิ้ลเอาก็ได้ ว่าถนนเส้นที่จะวิ่งนั้น มีการจับความเร็วตรงจุดไหนบ้าง ทางที่ดีควรเช็คข้อมูลที่ค่อนข้างอัพเดตนิดนึง เพราะคุณตำรวจมักมีการย้ายจุดตรวจอยู่บ่อยครั้ง 3.รู้จักสังเกต การขับรถทางไกล หากเป็นคนรู้จักสังเกต ก็จะพบว่ารถที่วิ่งอยู่รอบข้างคุณนั้น (โดยเฉพาะรถบรรทุก) มักมีการส่งสัญญาณให้กันไปมาอยู่เรื่อยๆ เช่น ถ้ามีการกระพริบไฟสูงจากรถที่สวนมา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าข้างหน้ามีด่านตรวจตั้งอยู่ หรือรถที่เพิ่งแซงเราไปด้วยความเร็วสูง จู่ๆก็ลดความเร็วลงต่ำกว่าปกติ อาจแปลได้ว่าเป็นรถเจ้าถิ่นที่รู้ตำแหน่งของกล้องจับความเร็วนั้นเอง 4.รู้จักปฏิบัติตามกฎหมาย ไหนๆถ้าขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดมันลำบากนัก ก็ใช้ความเร็วไม่เกินกฎหมายเสียเลยดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เครียดแล้ว ยังไม่ต้องห่วงว่าจะโดนใบสั่งส่งตรงไปถึงหน้าบ้าน หรือต้องลงไปเจรจากับคุณตำรวจให้เสียเวลา ทั้งนี้ เราไม่สนับสนุนให้คุณผู้อ่านทำผิดกฎหมายแต่อย่างใดนะครับ ยกเว้นเสียแต่มีความจำเป็นจริงๆ ก็พอใช้เทคนิคเหล่านี้หลีกเลี่ยงได้นั่นเอง http://auto.sanook.com/54167/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #99 เมื่อ: 26 สิงหาคม 2016, 15:03:10 » |
|
วิธีรับมือเมื่อรถยางแตก – ระเบิด ขณะขับรถ ทุกวันนี้การขับขี่บนท้องถนน มักมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความประมาท ซึ่งหากไม่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง ก็อาจเป็นเพราะคนอื่น โดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และบางครั้งมันก็อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้งานแบบไม่ทันตั้งตัว อย่างเช่น ยางแตก ยางระเบิด โอกาสที่จะเกิด ยางแตก ยางระเบิด ถือว่ามีน้อยมากกว่าการเกิดอุบัติเหตุประเภทอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย และถ้ามันเกิดขึ้น ในขณะที่คุณขับรถมาด้วยความเร็ว จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคุณคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่ถ้ามันสุดวิสัย เกิดขึ้นมาจริงๆ ล่ะ คุณจะทำยังไง? เอาเป็นว่า มาดูวิธีรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน ยางแตก ยางระเบิด เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดกันดีกว่า 1. ควบคุมสติของตนเอง อย่าตื่นตกใจเกินไป เพราะหากคุณควบคุมสติได้ดี เปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยก็จะมีมากขึ้น 2. ใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับพวงมาลัยให้แน่น และมั่นคง เพื่อประคองรถให้กลับมาอยู่ในเลน เพราะรถอาจเกิดอาการส่ายไปมาจากแรงระเบิด บวกกับความเร็วที่ใช้อยู่ในขณะนั้น 3. มองดูกระจกหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ และเปิดไฟฉุกเฉิน (ห้ามดึงเบรกมือเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถหมุนกลางถนน) 4. กดเบรคแต่ไม่ต้องแรงมาก ค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ กดลงไป เพราะหากกดเบรคแรงๆ อาจทำให้รถหมุนได้ (ในรถเกียร์ธรรมดา ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้รถไม่เกาะถนน ควบคุมได้ยากขึ้น จนอาจเสียหลักได้) 5. เมื่อความเร็วลดลงแล้ว ให้ประคองรถเข้าไหล่ทางด้านซ้าย (ระวังรถที่ขับตามหลังมาด้วย) 6. เมื่อสามารถควบคุมรถได้แล้ว ให้จอดบริเวณที่ปลอดภัย (ไหล่ทางที่กว้างพอ เพื่อไม่ให้รถที่ขับมาจากด้านหลังเฉี่ยว ชน ฯลฯ) และหลังจากจอดรถเข้าข้างทางเรียบร้อย สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือ เปลี่ยนยางเส้นที่แตกด้วยยางอะไหล่ หรือถ้าไม่มียางอะไหล่สำรอง ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น เพื่อนร่วมทาง, ครอบครัว, รถยก, รถลาก ฯลฯ ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์เกิดแตก หรือระเบิดขึ้นมา มีหลายอย่าง แต่หลักๆ จะมีดังนี้ 1. บรรทุกของจนน้ำหนักเกินมาตรฐานมากเกินไป 2. ลมยางอ่อนมากเกินไป เพราะแรงดันลมยางที่อยู่ภายในยางมีน้อย จึงทำให้ยางรถผิดรูป ไม่กลมแบบที่ควรจะเป็น 3. หลุม บ่อ ถนนพัง ที่มีอยู่ทั่วไปบนท้องถนนเมืองไทย 4. ไม่ได้ดูแล ตรวจสภาพยางรถยนต์ จนยางเสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน สุดท้ายนี้ ขอย้ำเตือนเลยว่า สติ สำคัญที่สุดในกรณีที่เกิด ยางแตก ยางระเบิด และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น คุณสามารถทำได้ด้วยการ ตรวจเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ คอยสังเกต คอยดูว่ายางมีปัญหา หรือมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงกับอันตรายแบบนี้ http://auto.sanook.com/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #100 เมื่อ: 01 กันยายน 2016, 16:41:10 » |
|
สัญญาณอันตราย น้ำมันใต้ท้องรถ การดูแลรักษารถยนต์ นอกจากจะต้องใส่ใจ ตรวจเช็กระยะให้ตรงตามกำหนดแล้ว คุณยังต้องช่างสังเกตอีกด้วย เพราะบางครั้งการสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น คราบน้ำมันบนพื้นที่จอดรถของคุณ ก็อาจช่วยคุณได้ทันเวลา เนื่องจากหากพบความผิดปกติช้าเกินไป มันอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ของคุณบางส่วน หรือทั้งระบบก็ได้ แถมยังต้องเปลืองเงินซ่อมเมื่อตอนที่สายไปอีกด้วย เอาเป็นว่า หากพบเจอคราบน้ำมันที่พื้น ให้สังเกตดูว่า น้ำมันเหล่านั้นมีสีอะไร เพราะเครื่องยนต์แต่ละส่วนใช้น้ำมันหล่อลื่นไม่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่น มาดูกันก่อนดีกว่าว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไรได้บ้าง สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำมันหยดรั่ว 1. ซีลยางต่างๆ เสื่อมสภาพ เนื่องจากอายุการใช้งาน 2. เกิดเหตุจากการใช้งาน เช่น ครูด กระแทก ใต้ท้องรถ ฯลฯ 3. การดัดแปลงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน และขันน็อตยึดต่างๆ ไม่แน่น จุดสังเกตุอีกอย่างที่จะทำให้เรารู้ว่า น้ำมันที่หยดลงพื้นเป็นอะไรก็คือ ตำแหน่งของห้องเครื่องรถเรานั่นเอง ซึ่งโดยปกติทั่วไปตามรถตลาดบ้านเรา สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ถ้ามีรอยหยดอยู่ทางด้านขวาของรถ (ฝั่งคนขับ) ให้คิดไว้เลยว่าน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรก แต่ถ้าเป็นทางด้านซ้าย (ฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ) ก็อาจเป็นพวกระบบส่งกำลัง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันเพาเวอร์ และหากเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ตำแหน่งต่างๆ ตามที่กล่าวมา จะอยู่ในแนวเดียวกันตรงกลาง ทำให้แยกปัญหายากกว่าเดิม ดังนั้นจึงต้องสังเกตสีน้ำมันที่หยดแทน สีน้ำมันที่หยดลงพื้นคืออะไร 1. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ อาจเป็นน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรก 2. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีแดงใส อาจเป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ หรือน้ำมันเพาเวอร์ 3. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ มีความเหนียวหนืดมากกว่าปกติ อาจเป็นน้ำมันเกียร์ธรรมดา 4. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ มีความเหนียวหนืดมากกว่าปกติ อาจเป็นน้ำมันเฟืองท้าย หากพบเจอน้ำมันหยดใต้ท้องรถตามนี้แล้ว ให้เช็กอาการดูให้ดี แม้บางครั้งจะหยด หรือรั่วน้อยก็ยังสามารถขับต่อไปได้ แต่ถ้าเกิดขับๆ อยู่แล้วรั่วเป็นน้ำก๊อก เสียหายมากกว่านั้นขึ้นมา มันไม่คุ้มค่าแน่นอน ทางที่ดีเข้าอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการดีกว่า เพื่อตรวจเช็กให้ละเอียด จะได้ซ่อมแซม แก้ไขได้ทัน ไม่อย่างนั้นแทนที่จะซ่อมแค่จุดเดียว อาจลามไปทั้งหมด หรือแย่สุดๆ ต้องเปลี่ยนยกเครื่องใหม่ไปเลยก็ได้ และอีกอย่างที่ต้องระวังไม่แพ้กันก็คือ น้ำมันเชื้อเพลิง เพราะถ้าหากรั่วขึ้นมา อันตรายมากกว่าแน่ๆ ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถสังเกตได้ง่าย เพราะกลิ่นจะเด่นชัดที่สุด หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นมากผิดปกติ ควรรีบจอดข้างทางแล้วดับเครื่องทันที และอย่าทำให้เกิดประกายไฟ หรือความร้อน จากนั้นติดต่อศูนย์บริการให้ไวที่สุด เพื่อนำรถไปตรวจสอบให้ละเอียด ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วได้อย่างไร http://auto.sanook.com/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #101 เมื่อ: 03 กันยายน 2016, 11:30:23 » |
|
ถ้าเราขับรถชนคนเดินเล่น Pokémon GO ผิดไหม? เปิดตัวมาแล้ว อาทิตย์กว่าๆแล้วกับโปเกมอน โก เป็นอย่างไรบ้างเหล่าโปเกมอนโกเทรนเนอร์ เลเวลเท่าไหร่กันแล้ว? โปเกมอน การ์ตูนขวัญใจของเด็กๆ ยุค 90 จนถึงเด็กๆ ยุคปัจจุบัน เพราะการผจญภัยตามล่าโปเกมอนที่น่าติดตามของซาโตชิและก๊วนเพื่อนและตัวการ์ตูนที่น่ารักอย่างเช่น ปิกาจูและผองเพื่อน เมื่อมาเป็นเกมโปเกมอน โกแล้วจึงเรียกเสียงฮือฮาได้ทั่วโลก ทุกวันนี้ที่เมืองไทย ไม่ว่าไปไหนก็เจอคนก้มหน้าก้มตาจับโปเกมอน อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมขับรถไปลงประชามติมา ด้วยความที่วันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อน ผมจึงนอนตื่นสาย ตื่นมาประมาณเกือบเที่ยง กว่าจะอาบน้ำกินข้าว รู้ตัวอีกที คูหาเกือบปิด! ผมเลยรีบบึ่งไปลงประชามติ ช่วงเวลาฉุกละหุกนั้น ผมดันเจอคนก้มหน้าเล่นโปเกมอน โกเดินข้ามถนน ตอนไฟข้ามถนนเป็นสีแดงคร้าบบบบ ผมเกือบชนโปเกมอนเทรนเนอร์ตายแล้ว!! ผมหงุดหงิดมากเลย ผมขับรถดีๆ เจอเทรนเนอร์เดินไม่ดูทาง ถ้า ผมชนไปจริงๆ แล้วใครผิดกันล่ะนี่! ผมกลับมาคิดๆ ดูแล้ว ผมผิด! ขับรถชนคน ไม่ว่าอย่างไรรถก็ผิด! ใช่แล้ว โลกไม่เท่าเทียม โชคดีนะที่ ผมทำประกันรถยนต์ชั้นไว้ ถึงแม ผมจะผิดแต่ประกันก็จ่ายค่ารักษาเทรนเนอร์ (ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก) แต่จ่ายเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับประกันแต่ละประเภทที่เราซื้อไว้ ส่วนใหญ่คุ้มครอง 1 ล้านบาท และ 500,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 ต่อครั้ง หมายความว่า ถ้าเราขับรถชนเทรนเนอร์ ถ้าเขาบาดเจ็บ ประกันจะจ่ายค่ารักษาตามจริงให้ แต่ถ้าเขามีอันตรายถึงชีวิต ประกันก็จะต้องจ่ายตามมูลค่าชีวิตของเขาคนนั้นโดยให้ศาลเป็นคนประเมินมูลค่าชีวิตให้ โอโห ฟังแล้วก็เหนื่อยเลย ถ้าขับรถชนเทรนเนอร์มีเเต่เรื่องวุ่นวายทางที่ดีเราต้องตั้งใจขับรถนะ ไม่ควรจับโปเกมอนระหว่างขับรถ มองทางดีๆ เพราะตอนนี้เหล่าเทรนเนอร์เขาจริงจังเหลือเกิน ข้อมูลจาก: https://www.frank.co.th/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2016, 18:24:22 » |
|
แนะรัฐหนุนผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า นักวิชาการแนะรัฐหนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าดีกว่าเป็นผู้เล่นในตลาดเอง นายวิพุธ อ่องสกุล คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนด้านนโยบายให้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นในประเทศไทยของรัฐบาล ในฐานะนักวิชาการมองว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมากกว่าการที่รัฐบาลลงสู่ตลาดในฐานะผู้เล่นเอง ซึ่งควรจะมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยปัจจุบันนโยบายรัฐยังไม่เอื้อประโยชน์ให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ จึงเห็นแต่ผู้เล่นรายเก่าเป็นส่วนมาก นอกจากนี้ หากต้องการให้เกิดการข้ามผ่าน (ทรานส์เฟอร์) ของเทคโนโลยีจะต้องไม่นำกฎเกณฑ์ของเทคโนโลยีเดิมมากำหนดเทคโนโลยีใหม่ทั้งสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน เพราะการสนับสนุนให้เกิดการทรานส์เฟอร์เทคโนโลยีได้จะต้องจูงใจนักลงทุนที่ต้องการมาตรฐานความเป็นสากลในทุกด้าน เช่น การกำหนดมาตรฐานหัวปลั๊กชาร์จไฟฟ้าของรถยนต์ “โจทย์สำคัญด้านการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีคือ การที่ผู้ผลิตปรับเทคโนโลยีให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นที่มาของตลาดที่มีการขยายตัวและส่งผลต่อการที่บริษัทต่างๆ เล็งเห็นตามมา”นายวิพุธ กล่าว สำหรับกรณีที่รัฐบาลได้ประกาศแผนประเทศไทย 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม โดยต้องการเน้นส่งเสริมใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ ได้แก่ รถยนต์นั่งไฟฟ้า รถยนต์นั่งไฟฟ้าขนาดเล็กและรถโดยสารไฟฟ้า และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มดำเนินการนั้น คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกได้มากกว่า 80% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ขณะเดียวกัน จะสร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้น 20% และในด้านอื่นๆ อีกมาก จึงอยากเสนอให้รัฐบาลและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยการเปิดกว้างต่อนโยบายด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้อีกไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาทในอนาคต นายวิพุธ กล่าวว่า การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industries 4.0) จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่นานาประเทศต้องตื่นตัวเช่นเดียวกันประเทศไทย โดยคณะบริหารธุรกิจ ร่วมกับสมาคมศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จะมีการจัดสัมมนาวิชาการ NIDA Business School Alumni Seminar 2016 หัวข้อ “Biz Talk สร้างโอกาสและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Thailand 4.0” ในวันที่ 27 ต.ค. 2559.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/461659
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2016, 20:08:17 » |
|
อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มฟื้นตัว ส.อ.ท.ชี้อุตสาหกรรมรถยนต์เดือน ก.ย.ฟื้นตัว รอลุ้นยอดขายแตะ 7.8 แสนคัน ด้านส่งออกเพิ่มขึ้นในรอบ 12 เดือน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือน ก.ย. 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.73 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.92% โดยเป็นการผลิตรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 48.24% ที่จำนวน 3.16 หมื่นคัน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2.13 หมื่นคัน และเป็นการผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 11.88% โดยมียอดการผลิตที่ 2.84 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ผลิต 2.54 หมื่นคัน เพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มีทั้งสิ้น 1.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 3.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดการผลิต 1.43 แสนคัน ทั้งนี้ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ก.ย. 2559 มีจำนวน 6.35 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 2.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถกระบะ เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นทำให้ประชาชนมีรายได้ และการแนะนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ ก่อนหน้านี้ สำหรับยอดผลิตรถยนต์ล่าสุดเดือน ก.ย.ที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี และหากยอดผลิตคงอัตราการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ไปจนถึงสิ้นปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ทั้งปีมีโอกาสที่อาจจะทำได้ถึง 7.8 แสนคัน มากกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดการณ์ไว้ 7.5 แสนคัน ขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ก.ย. 2559 ส่งออกได้ 1.12 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.91% โดยคิดเป็นมูลค่าส่งออก5.87 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือน ก.ย. 2558 ที่มีมูลค่า 5.35 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 8.95% ด้านการส่งออกที่ลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ส่งผลให้การส่งออกรถกระบะดับเบิ้ลแค็บที่มีมูลค่าสูงกว่ารถอีโคคาร์ลดลง สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกที่เติบโตลดลงจากการประมาณการตอนต้นปีของหลายองค์กรระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 9 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.51% มีมูลค่าส่งออก 4.8 แสนล้านบาทซึ่งปีนี้ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวส่งผลให้มียอดคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกรถยนต์ที่เชื่อว่าจะส่งออกได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 1.22-1.25 ล้านคัน ส่วนยอดขายรถยนต์ทั้งปีจะอยู่ที่ 1.97-2 ล้านคัน http://www.posttoday.com/auto/news/461121
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2016, 19:59:56 » |
|
เผยยอดรถในไทยปี59พุ่งทะลุ37ล้านคัน กรมการขนส่งทางบกเผยยอดรถในไทยพุ่ง 37 ล้านคัน โดยเฉพาะปี 2559 มีผู้จดทะเบียนทั่วประเทศ 2,456,686 คัน เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2559 มีผู้นำรถใหม่ (ป้ายแดง) เข้าจดทะเบียนทั่วประเทศ 2,456,686 คัน เฉลี่ยเดือนละกว่า 240,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน 100,949 คัน โดยรถจักรยานยนต์มากสุด อยู่ที่ 1,620,901 คัน เพิ่มขึ้น 84,281 คัน รองลงมาคือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน อยู่ที่ 490,124 คัน เพิ่มขึ้น 35,854 คัน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถปิกอัพ) อยู่ที่ 212,281 คัน ลดลง 3,631 คัน อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้จำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั่วประเทศ มียอดรถรวมทั้งสิ้น 37,268,655 คัน ประกอบด้วยรถจักรยานยนต์ 20,289,721 คัน รถยนต์ 8,146,250 คัน รถปิกอัพ 6,259,806 คัน รถบรรทุก 1,049,749 คัน และรถโดยสาร 156,089 คัน http://www.posttoday.com/auto/news/465208
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2016, 12:18:17 » |
|
กรมการขนส่งทางบก แนะนำ!!! การซื้อขายรถควรดำเนินการโอนทางทะเบียน พร้อมนำรถเข้าตรวจสอบความถูกต้องด้วยตนเอง ณ สำนักงานขนส่งที่จดทะเบียน ย้ำ!!! อย่าซื้อขายโดยวิธีการโอนลอย เสี่ยงอาจเป็นรถที่ได้มาด้วยวิธีไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วนำมาสวมซากสวมทะเบียนหลอกลวงประชาชน . นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัญหาการหลอกลวงประชาชนขายรถสวมซากสวมทะเบียน มักเกิดขึ้นกับการซื้อขายรถด้วยวิธีการโอนลอยที่ผู้ซื้อไม่นำรถไปดำเนินการตรวจสภาพรถและจดทะเบียนด้วยตนเองตามขั้นตอนของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างให้กลุ่มมิจฉาชีพนำรถโจรกรรมมาหลอกขาย โดยอาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะต่างๆ เช่น รถได้มาอย่างผิดกฎหมาย ตอกเลขตัวถัง เครื่องยนต์ใหม่ และทำคู่มือเอกสารการโอนปลอม หรือซื้อซากรถที่ใช้งานไม่ได้แล้วแต่ยังมีทะเบียนถูกต้อง เพื่อนำรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน มาสวมทะเบียนแทน โดยทำการเปลี่ยนแปลงขึ้นใหม่ทั้งเลขตัวถังและเลขคัสซีให้ตรงกับเอกสาร ส่วนอีกวิธีคือสวมทะเบียนเฉพาะป้าย โดยจะปลอมป้ายทะเบียน เครื่องหมายเสียการเสียภาษี รวมทั้งปลอมคู่มือประจำรถ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารราชการปลอม ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ปรับสูงสุด 10,000 บาท และกรมการขนส่งทางบกจะเพิกถอนการจดทะเบียนรถทันที นอกจากนี้ ยังอาจมีความผิดตามมาตรา 11 ประกอบมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ที่กำหนดให้รถทุกคันต้องมีและติดแผ่นป้ายทะเบียนและเครื่องหมายการเสียภาษีที่ทางราชการออกให้เท่านั้น ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท . รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงนำรถผิดกฎหมายมาโอนขาย กรมการขนส่งทางบกแนะนำให้ผู้ซื้อตรวจสอบแหล่งที่มาของรถก่อนตัดสินใจ ตรวจสอบเลขตัวถังและเลขเครื่องยนต์ตรงกับเอกสารหรือไม่ รวมทั้งป้ายวงกลมและป้ายทะเบียนติดหน้าหลังรถตรงกันหรือไม่ ตรวจสอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ตรวจสอบลำดับครอบครองต้องไล่เรียงกัน หากมีการแจ้งหายทำเล่มใหม่ มีประวัติแจ้งย้ายหลายจังหวัด ให้เพิ่มความระมัดระวัง ทั้งนี้ การซื้อรถควรซื้อต่อจากคนรู้จักที่ไว้วางใจได้ หรือถ้าเป็นเต้นท์รถมือสอง ควรตรวจสอบหลักฐานทะเบียนรถจากเจ้าของรถหรือผู้ขายมาขอตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกับสำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขา และเพื่อเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นสามารถนำรถเข้ามาตรวจสอบความถูกต้อง ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขาที่รถนั้นจดทะเบียน โดยกรมการขนส่งทางบกได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เข้มงวดกวดขันการตรวจสภาพรถตามรายการที่กำหนดทุกคัน เพื่อป้องกันไม่ให้รถผิดกฎหมายดำเนินการทางทะเบียนได้โดยเด็ดขาด ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะมีการระงับการดำเนินการทางทะเบียนที่ไม่ถูกต้องทันที และหากประชาชนพบเห็นรถต้องสงสัยสามารถแจ้งข้อมูลมายังกรมการขนส่งทางบก หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด ---------------------------------- https://m.facebook.com/PR.DLT.NEWS/photos/a.1563735837182911.1073741827.1563537483869413/1824951791061313/?type=3
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2016, 13:03:41 » |
|
ส่งออกรถต.ค.ร่วง7.23% ยอดส่งออกรถยนต์ ต.ค.ทำได้แค่ 1.03 แสนคัน ลดลง 7.23% ทำ 10 เดือน ส่งออกได้แค่ 1 ล้านคัน ลดลง 1.25% นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์ในเดือน ต.ค. 2559 อยู่ที่ 1.03 แสนคัน ลดลง 7.23% เทีบบกับ ต.ค. 2558 มีมูลค่าส่งออก 5.39 หมื่นล้านบาท ลดลง 10.11% สาเหตุมาจากการส่งออกใน ตลาดสำคัญปรับตัวลดลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ทั้งนี้ ส่งผลให้ยอดส่งออกรวม 10 เดือน ปี 2559 อยู่ที่ 1 ล้านคัน ลดลง 1.25% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา "การส่งออกรถยนต์ลดลงเป็นผล จากเศรษฐกิจคู่ค้าหลักที่นำเข้ารถจาก ไทยชะลอตัว โดยตลาดตะวันออกกลางและอเมริกาใต้มีสัดส่วนการส่งออกลดลงมาอยู่ที่ 2.2% จากเดิมที่เคยขึ้นไปถึง 5% ประกอบกับประเทศเหล่านี้เริ่มมี การลงทุนผลิตรถยนต์ในแอฟริกาเพื่อ ส่งออก ขณะที่ตลาดส่งออกอื่นๆเช่น เอเชียและออสเตรเลีย ก็มีปัญหาปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน" นาย สุรพงษ์ กล่าว ขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ของไทย ในเดือน ต.ค. 2559 มีทั้งสิ้น 1.61 แสนคัน ลดลง 2.59% เทียบ ต.ค. 2558 ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์รวม 10 เดือนปีนี้ มีทั้งสิ้น 1.63 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 2.55% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนยอดจำหน่ายในประเทศ ต.ค.อยู่ที่ 6.51 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 13.52% ส่งผลให้ยอดผลิตจำหน่ายในประเทศ 10 เดือน อยู่ที่ 6.40 แสนคัน เพิ่มขึ้น 10.9% http://www.posttoday.com/auto/news/466960
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2016, 14:55:12 » |
|
ซื้อรถยุคเศรษฐกิจซึมเศร้า ตรวจสุขภาพการเงินก่อนตัดสินใจ ช่วงนี้หลายคนอาจจะวางแผนซื้อรถเอาไว้ แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เงินในกระเป๋าที่รับมาทุกๆ เดือน ก็ไม่รู้จะหดจะหายไปเมื่อไหร่ ส่วนเงินที่จะได้เพิ่มชั่วโมงนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ‘ยาก’ ภาวะความไม่เชื่อมั่นจึงเกิดตามมา แต่เอาล่ะ... ในเมื่อสถานการณ์ เป็นเช่นนี้แล้วยังคิดจะซื้อรถ ลองมาดูกันก่อนว่า มีข้อควรต้องพิจารณาอะไรกันบ้างที่จะมาประกอบการตัดสินใจว่าจะเข้าเกียร์เดินหน้า หรือใส่เกียร์ถอยไปตั้งหลักกันใหม่กันดี ข้อแรก มองไปที่สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในระยะใกล้ๆ และใน 1 ปีข้างหน้า ต้องบอกเลยว่า เศรษฐกิจยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อช่วยผลักดันเศรษฐกิจ แต่ก็อาจจะทำได้แค่รักษาอาการไม่ให้มันทรุดลงไปเท่านั้น เพราะรายได้หลักของประเทศที่มาจากการทำมาค้าขายกับต่างประเทศ นั่นก็คือการส่งออกอาการยังร่อแร่ ขณะที่การลงทุนของเอกชนก็ยังไม่เดินหน้า การใช้จ่ายภาคประชาชนก็น้อยนิดเต็มที่ จะหวังพึ่งภาคการท่องเที่ยวในเวลานี้อาจจะยังไม่เหมาะ ก็ได้แต่หวังกันว่า การลงทุนของภาครัฐที่มีแผนกันเป็นหลักแสนๆ ล้านบาท จะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ความเชื่อมั่นในด้านอื่นๆ ตามมา ยิ่งปีหน้าตามแผนจะมีการเลือกตั้งอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การทำมาค้าขายกับประเทศประชาธิปไตยน่าจะดีขึ้น ไม่ถูกบีบจนหน้าเขียวเหมือนที่ผ่านมา รวมๆ แล้วในปีหน้าเรื่องเศรษฐกิจยังต้องลุ้นว่าจะไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน ไอ้ที่ว่าจะฟื้นตัวปุ๊บปั๊บเงินทองไหลมาเทมานั้นเลิกคิดไปได้ ดีที่สุดคือ โตช้าๆ อย่างเยือกเย็น ได้เท่านั้นก็ถือว่าบุญแล้วล่ะ คราวนี้มาดูที่ใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยนั่นก็คือ สถานะการเงินของเราภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้จะยังไหวมั้ย พวกที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ลองอัพเดตสถานการณ์ของบริษัทดูสักหน่อย การทำมาค้าขายประกอบธุรกิจยังดีอยู่หรือไม่ แผนการปรับเงินเดือน จ่ายโบนัส ยังวางอยู่บนโต๊ะเจ้านายหรือถูกโยนลงถังขยะไปแล้ว ไปสืบมาดีๆ ซึ่งจริงๆ ก็ดูง่ายๆ จากผลการดำเนินการของบริษัท ถ้ามันไม่ดี เจ้านายที่ไหนจะใจดีให้ขึ้นเงินเดือนให้เยอะๆ หรือสั่งจ่ายโบนัสหนักๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ส่วนพวกอาชีพอิสระทำมาค้าขายอาจจะง่ายหน่อย เพราะเป็นเจ้านายตัวเองจับเงินอยู่ทุกวันย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า จะไปรอดมั้ยส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้ ถ้าไม่ใช่พวกมั่นสุดๆ หรือพวกเพ้อไปวันๆเขาค่อนข้างจะเจียมตัวระมัดระวังการจับจ่ายกันอยู่แล้ว บางทีแผนการซื้อรถใหม่ของพวกเขาอาจจะถูกฉีกทิ้งไปตั้งแต่สองสามปีที่แล้วก็เป็นได้ หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็คงไม่ดีกว่า การตรวจสอบสถานการณ์การเงินทั้งภาคเศรษฐกิจโดยรวมและเศรษฐกิจส่วนบุคคล ย่อมทำให้เราตัดสินใจได้ว่า ควรหรือไม่ควรซื้อรถในเวลานี้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องซื้อควรจะซื้อแบบไหน เพื่อให้ปลอดภัยกับสถานะการเงินของตัวเองมากที่สุด ถึงตรงนี้ ก็พอจะตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า การจะซื้อรถในตอนนี้จำเป็นหรือไม่จำเป็น ยกเว้นพวกที่มีฐานะดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องคิดอะไรมาก จัดไปตามใจปรารถนาก็แล้วกัน. หากมองว่า ยังมีเวลาที่จะดูหน้าดูหลังอีกสักนิดก็ให้ใส่เกียร์ถอยกลับไปตั้งหลักใหม่ ลองเอาสตางค์ที่จะผ่อนไปใส่กระปุกดู เก็บออมเพิ่มอีกนิดก็ไม่เห็นเสียหายอะไร เก็บไปเก็บมาเผลอๆอาจจะซื้อเงินสดได้เลยก็เป็นไปได้นะ ซึ่งการทดลองเก็บเงินตามจำนวนงวดที่จะต้องผ่อนจะทำให้เรารู้ตัวเองว่า ภาระที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเรารับกับมันได้หรือไม่ นอกจากนี้ การทดลองผ่อน (โดยการเก็บใส่กระปุก) ไปสักระยะ ก็จะทำให้เราได้เงินดาวน์รถที่เพิ่มขึ้นด้วย http://www.posttoday.com/auto/news/468166
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
d-credit
ศิษย์พี่
ออฟไลน์
กระทู้: 185
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: 08 มีนาคม 2017, 15:24:38 » |
|
กล้องติดรถคึก อ้อนรัฐกำหนด มีเป็นมาตรฐาน กล้องติดหน้ารถยนต์คึก หนุนรัฐประกาศเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จับตาสินค้าจีนคุณภาพต่ำแข่งหั่นราคา นายรวีโรจน์ องค์ศิริวัฒนา ประธานกรรมการบริหารบริษัท มีราจ คาร์ออดิโอ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเกี่ยวกับรถยนต์และผลิตภัณฑ์ความบันเทิงในรถยนต์ครบวงจร เปิดเผยว่า กระแสความนิยมของกล้องติดหน้ารถยนต์ได้รับการตอบรับดี ทำให้รายได้กลุ่มสินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิ กล้องติดหน้ารถยนต์ จีพีเอส ระบบกันขโมย มีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 10% ของรายได้บริษัท “สินค้ากลุ่มนี้แรกเริ่มบริษัทนำมาเป็นสินค้าเสริมเพื่อความครบวงจร แต่จากการตอบรับดีรายได้จึงสำคัญขึ้น บริษัทจะพัฒนาการติดตั้งให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ” นายรวีโรจน์ กล่าว น.ส.จันทร์นภา สายสมร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และฟิล์มกรองแสงอาคารลามิน่าและฟิล์มกลุ่มพิเศษลูม่าร์ กล่าวว่า บริษัทเห็นด้วยกับรัฐบาล หากมีการสนับสนุนให้กล้องติดหน้ารถยนต์และจีพีเอสเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถยนต์ทุกคันจะต้องมี เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวปัจจุบันเป็นที่นิยมและหลายครั้งหลายเหตุการณ์ถูกนำไปเป็นหลักฐานสำคัญประกอบการพิจารณาคดีจนทำให้เรื่องราวต่างๆ คลี่คลายด้วยข้อมูลความเป็นจริงจากกล้องหน้ารถยนต์ “จากกระแสดังกล่าว บริษัทจึงนำสินค้ามืออาชีพในเอเชียแปซิฟิกมาทำตลาด แต่การแข่งตลาดนี้จะรุนแรงสูงจากแข่งลดราคาผ่านการสั่งซื้อออนไลน์และสินค้าจากจีนมีบทบาทมาก” น.ส.จันทร์นภา กล่าว ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดกล้องติดหน้ารถยนต์ผ่านช่องทาง อาทิ อี-คอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตเพลส พบว่าแข่งตัดราคารุนแรง : http://www.posttoday.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|