ครับ หลังจากที่ผมติดแก็สไปวันแรกเมื่อ 04 สิงหาคม 2006 แล้วมีปัญหาแก็สตามมาต่างๆนั้น ผมก็ได้แก้ไขจากอีกร้านนึงเมื่อ 06 กันยายน 2006 เท่าที่ผมจำได้ตอนนั้นที่ติดแก็สอยู่กิโลที่ 4xxxx กว่าๆ หลังจากติดแก็สผมก็ไม่ได้เข้าศูนย์ เนื่องจากการประกันเครื่องจะจบตรงที่เราทำแก็ส แล้วก็เรื่อยมา ผมก็ได้มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10000 โล โดยทุกครั้งที่เปลี่ยน ผมจะใช้น้ำมันสังเคราะห์ทุกครั้ง ซึ่งบางครั้งอาจจะเปลี่ยนก่อนกำหนดด้วยซ้ำไป เพราะว่าบางครั้งจำเป็นต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ก็เลยเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความลื่นของเครื่องยนต์ และเท่าที่ผ่านมาเท่าที่ผมเคยอ่านเจอจากหลายๆเวปเกี่ยวกับสภาพเครื่องที่ติดแก็สไป ว่าสภาพเป็นยังไงบ้าง มาถึงวันนี้ รถผมมาอยู่ที่กิโล 98935
ซึ่งก็ใกล้เคียงแสนโลแรก ซึ่งแสนโลแรกนี้ สิ่งที่สำคัญที่จะต้องเปลี่ยนก็คือสายพานราวลิ้น(บางคนอาจจะเรียกว่าสายพานลูกลอก) เคยได้ยิน ได้เห็นจากคนรู้จัก บางคันใช้เลยแสนไม่เปลี่ยน แล้วเจอปัญหาเครื่องพัง บางคันก่อนกำหนดด้วยซ้ำ ซึ่งผมเองได้ยินตรงนี้บ่อยมากๆ และประกอบกับว่าอาทิตย์นี้ผมต้องเดินทางไปต่างจังหวัด จากกิโลที่โชว์ให้ดูนี้ ก็ใกล้แสนแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่เปลี่ยนแล้วไปขาดกลางทาง ผมเองคงไม่อยากกินข้าวลิงแน่ๆ และที่สำคัญผมคงไม่ปล่อยรถผมให้เสียที่ต่างจังหวัดง่ายๆ หรอกครับ
คราวนี้ก็มาถึงร้านที่ทำการเปลี่ยน ผมก็ได้ให้ร้าน Highway ซึ่งผมทำการติดแก็สกับเขา เป็นคนเปลี่ยนสายพานให้ สาเหตุมีสองประการคือ อย่างแรกร้านเขาซ่อมเกี่ยวกับฮอนด้าโดยตรง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นซีวิคตัวนี้ ที่ร้านเขาก็มีเอง อย่างที่สองคือเราติดแก็สร้านเขา ถ้าเกิดว่าเครื่องมีปัญหาไม่ว่าจากแก็สหรือระบบน้ำมันก็ตาม เขาจะได้ดูแลให้โดยที่ไม่ต้องเพิ่งแต่ศูนย์ ซึ่งบางครั้งศูนย์ยังแก้ไขไม่ตรงจุดด้วยซ้ำ ผมเองเห็นลูกค้าเขาก็เคยเอามาซ่อม ซึ่งผมเองก็เคยเจอปัญหาความร้อนแล้วพี่เขาให้ไปทำแล้วทีเดียวจบ ผมจึงตัดสินใจให้เขาทำหน้าที่นี้ครับ
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าสายพานราวลิ้น Bonum (โบนั่ม)คืออะไร
-สายพานราวลิ้นเป็นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์มีหน้าที่กำหนดจังหวะของเครื่องยนต์ทั้งสี่ คือ ดูด อัด คาย ระเบิด กล่าว คือ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานจะมีการระเบิดในกระบอกสูบทำให้ข้อเหวี่ยงหมุน และ Pulley ที่ติดอยู่กับข้อเหวี่ยงหมุนฉุดให้สายพานราวลิ้นหมุนทำให้เพลาราวลิ้นที่มีหน้าที่เปิดและปิดวาล์วไอดี และ วาล์วไอเสียทำงานเนื่องจากการเปิดและปิดของวาล์วไอดีและไอเสียต้องมีจังหวะเวลาที่แน่นอนถ้าผิดพลาด อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และดับไปได้ สายพานราวลิ้น จึงได้ชื่อว่า Timing Belt
คราวนี้มาดูรูปกันเลยครับ
ตอนแรกก็รื้อช่วงด้านหน้าและตรงปั้มพาวเวอร์ออก
ซึ่งตอนเอาออกก็ต้องเอาสายพานพาวเวอร์กับสายพานคอมแอร์ออกมาด้วย ซึ่งไหนๆก็ไหนๆแล้ว แสนโลก็เลยลองดูสภาพว่าควรจะเปลี่ยนหรือยัง
ถ้าดูจากรูปอาจจะไม่ค่อยชัดเท่าไร แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะเห็นเลยว่าแตกลายงา ทำให้ประสิทธิภาพของยางด้อยลงไปครับ
การที่จะเอาสายพานคอมแอร์ออกนี้ไม่ใช่ว่าเอาออกง่ายๆนะครับสำหรับซีวิค ไดเมนชั่น เพราะว่าเครื่องมันเต็มไปหมด เวลาจะถอดก็ต้องค่อยๆถอด และที่สำคัญต้องถอดล้อหน้าด้านซ้ายด้วย เพื่อทำการดึงสายพานออกมาจากด้านล้างด้วยครับ
มาดูรูปนี้ครับ หลังจากเปิดฝาที่ปิดไว้ด้านขางออก ก็จะเจอสายพานราวลิ้นของเดิมที่ใช้มาเกือบแสนโลที่ติดมากับรถ ซึ่งมองจากภายนอกอาจจะดูไม่ทราบ
อันนี้เป็นเฟืองข้อเหวี่ยงครับ
แต่เมื่อผลิกสายดูแล้วจะเห็นได้ว่าแตกลายงาเช่นกัน ซึ่งปัญหาว่าสายพานจะขาดได้ยังไง ให้สังเกตที่เป็นร่องๆ เมื่อสายพานเกิดความเสื่อมสภาพหรือแตกลายงา เมื่อใช้ไปจำทำให้สายตกร่อง หมายถึงว่าสายหลุดออกมาจากร่อง ซึ่งเมื่อสายหลุดแล้วจะทำให้จุดต่างๆที่สายพานพาดไปทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดความเสียให้แก่เครื่องได้ครับ
หลังจากนั้นเขาเองก็ได้ทำการเปลี่ยนปั้มน้ำเครื่อง ปั้มตัวนี้ทำหน้าที่ให้กระแสน้ำไหลเวียนจากเครื่องสู่หม้อน้ำแล้วกลับเข้ามาสู่เครื่องใหม่ ซึ่งในขณะที่ผ่านหม้อน้ำ จะทำให้ความร้อนของน้ำลดลง และเข้ามาสู่เครื่องอีกครั้ง เมื่อปั้มน้ำเสีย ก็จะทำให้เครื่องเกิดความเสียหายได้ จริงๆแล้วเขาบอกว่าประมาณแสนโลก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว ผมเองก็เห็นว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ให้เขาเปลี่ยนไปดีว่า ไม่อยากเสียค่าแรงอีกรอบ เพราะว่าเปลี่ยนสายพานเสร็จ ถ้าปั้มเสียทีหลัง ก็ต้องถอดอีก โดนสองต่อ ไม่เอาดีกว่า
รูปนี้คือรูปปั้มน้ำตัวเก่าครับ จริงๆสภาพยังสวยเลยครับ แต่ช่างบอกว่าเปลี่ยนดีกว่าครับ ก็อย่างที่บอก ไม่อยากเสียสองต่อครับ
ด้านนี้เป็นด้านที่สายพานราวลิ้นผ่านเฟืองปั้มเพื่อทำให้ปั้มทำงานครับ
ด้านนี้เป็นใบพัด อยู่ในเครื่องครับ
ด้านนี้เป็นด้านข้างครับ
รูปนี้จำได้ว่าตอนเปลี่ยนปั้มหรืออะไรสักอย่าง น้ำในเครื่องไหลออกมานองพื้นเลยครับ
เมื่อเปลี่ยนสายพาน ก็ต้องเปลี่ยนลูกรอกด้วย แล้วเปลี่ยนทำไม? ก็เพราะว่าลูกรอกนี้ทำหน้าที่ตั้งให้สายพานตึงไม่ให้เกิดการหย่อน เหมือนตัวตั้งสายอัตโนมัติครับ ส่วนใหญ่เขาจะเปลี่ยนกันทุกครั้งที่เปลี่ยนสายพาน ดูจากรูปนะครับ ตัวซ้ายเป็นของใหม่ ตัวขวาเป็นตัวที่ใช้งานแล้วเก้าหมื่นกว่าโล
ลูกลอกและสายพานส่วนมากจะใช้ของแท้นะครับ ไม่ค่อยมีใครใช้ของปลอมกัน รูปต่อมาเป็นรูป Serial Number ของสายพานอันใหม่กับลูกรอกอันใหม่ครับ
เบอร์อันนี้เป็นเบอร์ลูกรอกครับ
อันนี้เป็นเบอร์สายพานครับ
รูปต่อไปนี้เป็นรูปการใส่สายพานใหม่
รูปนี้เป็นรูปลูกลอกใหม่
ตัวที่อยู่บนด้านขวาเป็นปั้มน้ำตัวใหม่ครับ
หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนสายพานคอมกับสายพานพาวเวอร์
อันนี้คือคอมแอร์
อันนี้คือปั้มพาวเวอร์
อันนี้จำไม่ได้แต่อยู่ด้านล่าง ใกล้คอมแอร์ครับ
สายสองเส้นนี้ถ้าสังเกตดีๆจะมีขนาดไม่เท่ากัน
ถ้าจำไม่ผิดสายใหญ่ใช้กับคอมแอร์ อีกสายใช้กับปั้มพาวเวอร์
หลังจากนั้นช่างก็ได้ทำการใส่สายพาวเวอร์กับสายคอมแอร์จนเสร็จ หลังจากใส่สายทุกอย่างจนเสร็จ ก็ถึงเวลาที่จะพิสูจน์กันเกี่ยวกับเรื่องเครื่องว่าใช้แก็สสลับน้ำมันเป็นยังไง และใช้น้ำมันสังเคราะห์ตั้งแต่แรกเป็นยังไง ช่างก็ได้ทำการเปิดฝาเพื่อที่จะตั้งวาวล์หลังจากใช้ไปเกือบแสนโลครับ
อันนี้คือภาพหลังจากเปิดฝาครับ
ตอนแรกที่เปิดดู ผมนึกว่าเหมือนเครื่องที่ใหม่ๆใช้ได้ไม่นาน ขนาดช่างเองยังบอกเลยว่าสภาพเครื่องออกมาดีมากเลยครับ
รูปนี้ซูมเข้าไป
อันนี้ก็คือสีน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ใช้ไปไม่ถึงหมื่นโล
จริงๆตอนแรกที่ติดแก็ส ก็เคยได้ยินว่าติดออโต้ลูบเพื่อเลี้ยงบ่าวาวล์ แต่วันนี้รูปคงพิสูจน์แล้วว่าออโต้ลูบไม่จำเป็นครับ จริงๆแล้วถ้ามีโอกาสใช้น้ำมันบ้าง หรือสตารท์เลี้ยงไว้บ้าง บ่าวาวล์ก็ไม่แห้งแล้วครับ
อันนี้คืออีกมุมนึง
หลังจากที่เปิดฝาตะลึงกับสภาพเครื่องสักพัก ช่างก็ทำการตั้งวาวล์ เพื่อให้การทำงานของเครื่องมีประสิทธิภาพครับ
หลังจากที่ตั้งวาวล์เสร็จ ช่างก็ทำการปิดฝาวาวล์ รูปนี้เป็นด้านในของฝา ให้สังเกตดีๆตรงขอบว่ามีซีลยางอยู่ด้วยนะครับ
ซึ่งก่อนที่ช่างจะปิดฝา ช่างได้ทำการทายาเพื่อไม่ให้เกิดตามดครับ
น้ำยาที่ใช้ทาครับ
หลังจากที่ได้ปิดฝาเสร็จ ก็เปลี่ยนหัวเทียน เนื่องจากแก็สที่ผมใช้เป็นระบบดูด ระบบไฟและอากาศเป็นส่วนผสมสำคัญในการจุดระเบิด ถ้าทุกอย่างเป็นของใหม่ ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องก็ดีขึ้น
อันนี้คือรูปหัวเทียนที่เปลี่ยนไปที่กิโลเมตรที่ 76185 และวันที่ 13 มิถุนายน 2550
อันนี้คือสภาพที่ใช้ไปแล้วถึงกิโลที่ 9xxxx
ซึ่งจากสภาพที่ดู ช่างเขาบอกว่ามีการใช้น้ำมันบ้าง ทำให้สีของกระเบื้องออกมาเป็นสีแดง และเท่าที่ดูจากการเผ่าไหม้ ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ
พอดีตอนที่จะเอาอันใหม่มาถ่าย มัวแต่คุยกับช่างอีกคนนึงอยู่ หันไปอีกทีใส่เสร็จหมดแล้ว อันนี้คือรูปกล่องหัวเทียนที่ใส่ใหม่ ซึ่งระบบแก็สไฟสำคัญ ทำให้ต้องเปลี่ยนบ่อย แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ
หลังจากนั้นได้ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกับกรองอากาศ จริงๆแล้วผมเพิ่งเปลี่ยนไปกิโลเมตรที่ 93xxx กว่า วันที่ 30 พฤศจิกายน 2007 ซึ่งก็วิ่งมาได้แค่ห้าพันกว่าโล แต่ว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว เมื่อเปลี่ยนสายพานอะไรใหม่แล้ว ผมก็ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่อง กรองอากาศใหม่ด้วยซะเลย
รูปนี้คือรูปน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว จริงๆแล้วยังไม่ถึงหมื่นโลด้วยซ้ำ ดูสีเอาแล้วกันครับ
อันนี้เป็นน้ำมันเครื่องที่ใช้ในครั้งนี้
น้ำมันเครื่องกล่องนี้เป็นความบังเอิญครับ พอดีว่ามีเพื่อน CIVIC CLUB ด้วยกันเขามาติดแก็ส แล้วคุยไปคุยมาถูกคอ พอดีมาดูรถผม แล้วบังเอิญว่าผมจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่ผมดันลืมเอามา เขาถามว่าใช้ยี่ห้ออะไร ผมบอกว่าใช้ PTT 0W40 เขาบอกว่าเขามีติดมาที่รถ พอดียังไม่ใช้ เขาก็ขายให้ผม ซึ่งราคาไม่แพงครับ (อันนี้ต้องขอบคุณมากๆนะครับ นี่คือหนึ่งน้ำใจในซีวิคคลับด้วยกันครับ) และผมเองดีมีการถ่ายรูปติดแก็สของเขาไว้ด้วย ไว้ตอนท้ายผมจะเอามาลงให้ชมกันหลังการรายงานการเปลี่ยนสายพานครับ
อันนี้คือน้ำมันใหม่ที่เติมไปครับ
และนี้คือกรองอากาศอันเก่า ซึ่งถ้าดูแล้วก็ยังใหม่พอสมควร แต่ดูใกล้ๆ ก็มีคราบเยอะเหมือนกัน แต่ก็ใหม่อ่ะครับ
อันนี้คือกรองน้ำมันเครื่องเก่าที่ถอดทิ้งแล้วครับ
ไหนๆก็ทำแล้วก็ยกชุดซะเลย อันนี้คืออันใหม่ครับ
และก่อนสตาร์ท ช่างได้ทำการเติมน้ำก่อน เพราะว่าตอนเปลี่ยนสายพาน ได้เปลี่ยนปั้มน้ำไปด้วย ทำให้น้ำที่อยู่รอบๆเครื่องออกมาเช่นกัน ถ้าเครื่องไม่มีน้ำเลี้ยงก็เป็นอันพังครับ เติมน้ำยาเสร็จแล้วเติมด้วยน้ำเปล่าตามอีกทีครับ น้ำยาที่เติมไปเป็นน้ำยาสีเขียวสะท้อนแสง อย่างนึงที่ดีนอกจากกันสนิมแล้วก็คือเวลารั่วจะทำให้เห็นรอยรั่วต่างท่อต่างๆได้ว่ารั่วจากตรงไหนครับ
จริงๆแล้วเปลี่ยนสายพานไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก็ได้นะครับ ถ้าน้ำมันเครื่องเปลี่ยนได้ไม่นาน แต่ถ้าจำไม่ได้หรือไม่ชัวร์เรื่องเวลาหรืออยากให้การขับขี่สมูทขึ้น ก็จัดไปครับ
หลังจากนั้นได้ทำการสตาร์ทเพื่อวัดระดับน้ำมันเครื่อง ตอนที่เครื่องติด ผมสังเกตที่การสั่นของเครื่อง ขอบอกครับว่านิ่งมาก นิ่งกว่าตอนแรก จำได้ว่าเมื่อวันสองวันก่อนหน้าที่จะทำ ผมได้สตาร์ทน้ำมันเลี้ยงไว้แล้วเปิดฝาทำความสะอาด ซึ่งเครื่องสั่นจริงแต่ไม่มาก แต่วันนี้นิ่งกว่าวันนั้นมา ใกล้เคียงตอนออกรถมาเลยครับ ช่างเห็นยังบอกว่านิ่งจริงๆเลย ช่างยังแซวผมเลยครับว่าถ้าพี่ขายรถคันนี้ผมขอซื้อต่อนะ เพราะว่าพี่เล่นรักษาขนาดนี้ ผมก็บอกว่าคงยากอ่ะครับ เพราะว่ารถคันนี้ผมค่อนข้างรักมากพอสมควร
คราวนี้หลังจากเปลี่ยนสายพานเสร็จ ผมจำได้ว่าผมได้ทำความสะอาดพร้อมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์16 กุมภาพันธ์ 2007 จำได้คราวๆว่าประมาณ 5-6 หมื่นโลโดยประมาณ วันนี้มาถึงเก้าหมื่นกว่าโลแล้ว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมก็จัดการเปลี่ยนซะเลย
อันนี้คือเครื่องล้างพร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ครับ
ต่อท่อทั้งน้ำมันออกเข้าและใส่น้ำมันใหม่ครับ
ฃ
หลังจากนั้นสตาร์ทเครื่องเพื่อให้น้ำมันไหลสู่เครื่องทำความสะอาดครับ
ให้ดูที่สีน้ำมันเกียร์ที่ใช้ไปนะครับ สีที่ออกมาค่อนข้างจะดำมา ซึ่งจริงๆแล้วช่างเขาบอกผมว่าควรถ่ายทุกๆสองหมื่นโลจะดีกว่า สงสัยว่าคงต้องถ่ายบ่อยๆแล้วละครับ
ซึ่งเขาก็ได้เข้าทั้งเกียร์ถอย เกียร์เดินหน้าทุกๆเกียร์ ซึ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง(ช่างเขาบอกว่ายิ่งนานยิ่งดี จะได้สะอาดครับ) เพื่อจะล้างให้ออกจากระบบทุกเกียร์ แล้วทำการใส่น้ำมันเกียร์ใหม่เข้าไป แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จครับ
วันนี้เท่าที่ทดลองขับดู รู้สึกว่าเครื่องนิ่งขึ้นมาก ตอบสนองดีขึ้นกว่าเก่า แม้ว่าจะอยู่ในโหมดแก็ส แต่ความแตกต่างแทบไม่เห็นว่าจะแตกต่างจากน้ำมันสักเท่าไร ซึ่งบอกจริงๆว่าคุ้มค่ากับการลงทุนไป ถ้าเกิดว่ามัวแต่คิดมาก รอให้มันขาดหรือเสียก่อนค่อยมาทำ มันจะไม่ใช่แค่พันนะครับ จะเป็นหมื่น เผลอๆหลายหมื่นเอานะครับ
ก็เป็นข้อมูลฝากกันสำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่เคยเห็นตอนเปิดฝาเครื่องและสายพานราวลิ้น ผมว่าข้อมูลของผมในครั้งนี้คงเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆและหลายคนที่เข้ามาดูไม่มากก็น้อย
---- เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ---- จำไว้ให้ดีๆนะครับ