>ที่มา : Transformers คือชื่อของหุ่นยนต์ต่างดาวซึ่งเป็นสินค้าของเล่นยอดนิยมที่แตกออกมาหลายรุ่นของบริษัทผลิตของเล่น Takara และ Hasbro ในปี 1984 มันมีจุดเด่นคือเป็นเครื่องจักรมีชีวิตที่สามารถ "แปลงร่าง" ได้ทั้งในรูปรถ, ยานเหาะ หรือร่างสัตว์ ซึ่งกลายเป็นชื่อของมัน(อธิบายง่ายๆ ก็คือของเล่นที่นำไอเดียมาจากของเล่นของญี่ปุ่นนั่นเอง) สำหรับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ดอน เมอร์ฟี่ย์ หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ตั้งใจจะทำ G.I. Joe ในปี 2003 แต่ในการเจรจาในถูกบริษัทผลิตของเล่นเสนอให้ทำหนังเรื่องนี้แทน
>เรื่องหลัก : โดยมาจากดวงดาวไซเบอร์ตรอน ที่แบ่งเป็นฝ่ายธรรมะ คือ ออโต้บอต นำโดย ออพติมัส ไพรม์ และ ฝ่ายอธรรม คือ เดเซพติคอนส์ นำโดย เมกาตรอน ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ยึดเอาแนวคิดดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น รุ่นแรกคือ Transformers: Generation 1 ทำให้เกิดซีรี่ส์โทรทัศน์(1984-1987) และการ์ตูนค่ายมาร์เวล (โดยส่วนตัวน่าจะใช้คำว่าช่วยกันขายมากกว่า)ซึ่งแบ่งภาคย่อยต่อทั้งในญี่ปุ่น และอังกฤษ ตามด้วยรุ่นใหม่ และภาคต่อในหนังสือการ์ตูน Generation 2 และ Beast Wars ซีรี่ส์ที่เจาะลึกไปในจักรวาลย่อยของมัน รวมถึงตัวหนังอนิเมชั่นที่ฉายในปี 1987 ในชื่อว่า The Transformers: The Movie กำกับโดย เนลสัน ชิน(ซีรี่ส์ Spider-Man and His Amazing Friends) แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก...ตัวละครจากภาคแรกหลายตัวยังโดนจับมาปัดฝุ่นใหม่ในปี 2002 โดยบริษัท Dreamwave และค่ายการ์ตูน IDW Publishing ในปี 2006 เริ่มตั้งแต่ Robots in Disguise, Armada/Energon และ Cybertron ตามลำดับ...หลายตอนของการ์ตูนฉบับโทรทัศน์นั้นเคยออกฉายในบ้านเราด้วย อ้อ ! รวมถึงของเล่นที่วางขายด้วยนั่นแหละ
>ผู้สร้าง : หนังฉบับคนแสดงที่กำหนดลงโรงบ้านเราใน 28 มิถุนายนนี้ จะฉายก่อนสหรัฐอเมริกาที่ออกฉายวงกว้างในวันที่ 3 กรกฎาคม 2007 หนังเป็นการร่วมทุนสร้างระหว่าง ดรีมเวิร์คส์, พาราเมาท์ และบริษัท Hasbro โดยบริษัทจะรับจัดจำหน่ายในประเทศ, พาราเมาท์จะรับผิดชอบในการจัดจำหน่ายต่างประเทศ โดยร่วมมือกับค่ายยูนิเวอร์แซล เป็นการร่วมงานกับครั้งแรกระหว่าง พ่อมดฮอลลีวู้ด สตีเว่น สปีลเบิร์ก ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหาร และ ผู้กำกับ ไมเคิล เบย์(Armageddon) โดยมีจุดเริ่มต้นจากสองโปรดิวเซอร์ ดอน เมอร์ฟี่ย์(The League of Extraordinary Gentlemen) และ ทอม เดอซานโต้(X-Men)
>ผู้กำกับ : ใครจะว่า ไมเคิล เบย์ ดีแต่เปลือกอย่างไร และเขาจะโดนนักวิจารณ์ด่าเละเทะแค่ไหน ด้วยสไตล์ภาพโฉบเฉี่ยว ตัดต่อฉึบฉับ อุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นตื่นเต้น แค่ไหน(เรื่องที่โดนด่ามากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ Armageddon ที่ว่ากันว่าเล่าเรื่องแต่ละฉากด้วยการตัดต่อมากที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก) เขาก็คือผู้กำกับจากบริษัทผลิตโฆษณา และมิวสิควิดีโอชื่อดัง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดรองจาก เดวิด ฟินเชอร์ และถ้านับเอาเฉพาะความสำเร็จด้านรายได้ เบย์กินขาด ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของบริษัทสร้างหนังสยองขวัญ Platinum Dunes ที่เอาหนังสยองขวัญคลาสสิคมารีเมคใหม่ และร่วมหุ้นซื้อ Digital Domain บริษัทสเปเชียลเอฟเฟ็คท์ของ เจมส์ คาเมรอน มาแล้ว...ทีแรกเขาไม่อยากทำหนังเรื่องนี้เพราะมองว่าเป็นแค่หนังหุ่นกระป๋อง แต่เมื่อรำลึกว่าสมัยทำงานกับ Lucasfilm ตนเองก็เคยมอง Raiders of the Lost Ark(1981) แบบนั้นเช่นกัน แต่ผลคือมันเป็นหนังคลาสสิค เขาจึงอาจคิดผิด และตัดสินใจรับงานชิ้นนี้โดยตั้งใจจะทำให้เป็นหนังสำหรับครอบครัว...แม้ว่าในอีกทางก็ต้องการทำให้มันดูแรงกว่าเดิมเช่นกัน
>บท : เขียนโดย โรแบร์โต้ ออร์ซี่ และ อเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน(ทั้งคู่ร่วมเขียนบทอย่าง Mission: Impossible III และ The Island รวมถึงหลายตอนในซีรี่ส์ Alias) โดยออกแบบหุ่นให้ซับซ้อนมากขึ้น เล่าเรื่องหลักไปที่ แซม วิทวิคกี้ นักเรียนไฮสคูลที่ซื้อรถครั้งแรก ซึ่งแท้จริงมันคือ บัมเบิ้ลบี เจ้าหุ่นครึ่งรถสีเหลืองตนนี้ได้ช่วยปกป้องเขาและแฟนสาวจากหุ่นฝ่ายอธรรม ก่อนที่ฝ่ายธรรมะตัวอื่นจะตามมาช่วยกู้โลก โดยพวกเขาทำการค้นหา Allspark โลกหลังความตายของหุ่น Transformers และสงครามบนโลกก็ปะทุขึ้นจากการโจมตีของฝ่ายดีเซพติคอน ที่พุ่งไปที่ฐานทัพสหรัฐฯ ที่กาต้าร์ แซมถูกนำตัวไปยังหน่วย 7 หน่วยลับของรัฐบาลเพื่อช่วยหยุดฝ่ายอธรรม แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้ว่าแท้จริงพวกเขาตั้งใจจะทำลายฝ่ายธรรมะอย่าง ออโต้บอต พวกเขาจึงหาทางวางแผนเพื่อกอบกู้โลก(แปลไป อ่านไป ฮามาก ) ซึ่งก่อนหน้านี้มีตัวละครหุ่นยนต์อีกหลายตัวที่เพิ่ม ลด ในการแก้ไขบท แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทุกบทที่มีการปรับแก้จะต้องมีตัวเอกอย่าง ฝ่ายดี Optimus Prime กับ Bumblebee และ ตัวโกง Megatron และ Starscream ทุกครั้ง
>นักแสดง : แม้จะขายหุ่นยนต์มากกว่าคน แต่ก็มีนักแสดงดังๆ ร่วมงานเรื่องนี้ไม่น้อย ได้แก่ เชีย เลเบิฟ จาก Disturbia และจะได้ร่วมแสดงใน Indiana Jones IV รับบท แซม พระเอกของเรื่อง, จอน วอยต์(นักแสดงออสการ์จาก Coming Home)ในบทเลขาฯ ฝ่ายป้องกันภัยของสหรัฐฯ, จอห์น เทอร์เทอโร่(O Brother, Where Art Thou?) ในบทหัวหน้าหน่วย 7, เมแกน ฟ็อกซ์(Confessions of a Teenage Drama Queen) ในบท มิเคลล่า แฟนสาวของแซม เบอร์นี่ แมค นักแสดงตลกรายการ The Bernie Mac Show ที่แสดงเป็นคนขายรถให้กับ แซม แต่ที่สำคัญเสียงพากย์ของหุ่น ซึ่ง ดอน เมอร์ฟี่ย์ หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของหนังยอมรับฟังเสียงจากแฟนการ์ตูนต้นฉบับ จนได้เสียงพากย์คือดั้งเดิมของ ออพติมัส ไพร์ม อย่าง ปีเตอร์ คัลเลน แต่เสียงตัวร้ายอย่าง เมก้าตรอน ซึ่งเสียงพากย์ต้นฉบับคือ แฟรงค์ เวลเกอร์ นั้น เบย์มองว่าฟังดูแก่ไป จนได้ ฮิวโก้ วีฟวิ่ง(The Matrix) มาแทนที่
>เทคนิคพิเศษ :แม้เบย์จะบอกว่าเขาไม่ต้องการให้เทคนิคพิเศษเด่นเกินคนแสดง งบทุนสร้างถึง 150 ล้านเหรียญฯ จึงมุ่งเน้นไปเพียงเฉพาะแค่ 15 ฉากแอ็คชั่นสำคัญเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีสถิติทางด้านนี้ไม่น้อย เช่น หุ่นต่างๆ ถูกออกแบบใหม่ใสหลายพันแบบให้ดูสมจริงขึ้นตามมุมมองของ ไมเคิล เบย์ ที่มองว่าแบบดั้งเดิมดูเหมือนของเล่นกิน, ใช้เวลาสร้าง CGI Animation ต่อ 1 เฟรมนานถึง 38 ชั่วโมงในหุ่น Transformers ซึ่งทำลายสถิติเดิมของ Weta Workshop ที่เคยทำใน The Lord of the Rings: The Two Towers(2002)ที่ใช้เวลาในการสร้างเฟรมของ Ent Treebeard นาน 20 ชั่วโมง, ปืน ironhide ในหนังประกอบจากวัสดุถึง 10,000 ชิ้น, เบย์ขอให้อนิเมเตอร์นำแนวทางของหนังกำลังภายในมาใส่ไว้ตัวละครบางตัวด้วย, ILM นำบุคลิคของ เลียม นีสัน นักแสดงชื่อดังมาใช้กับ ออพติมัส ไพร์ม ขณะที่ตัว บัมเบิ้ลบี ได้นำบุคลิกของ ไมเคิล เจ.ฟ็อกซ์จาก Back to The Future มาใช้
>รางวัล และเสียงเล่าอ้าง : แม้จะไม่ได้ออกฉาย แต่หนังก็ได้รางวัลเรียบร้อยแล้วครับนั่นคือ MTV Movie Awards ปี 2007 ในสาขาแปลกๆ ที่ชื่อว่า Best Summer Movie You Haven't Seen Yet แถมในหนังเรื่อง Clerks II (2006) ยังมีการกล่าวอ้างถึงตัวหนังเรื่องนี้ที่จะฉายในซัมเมอร์ปีหน้าอีกด้วย
สโลแกน : สโลแกนของหนังที่ว่า "Their War. Our World" เคยเป็นสโลแกนสำหรับหนังเรื่อง AVP: Alien vs. Predator(2004) มาก่อน แต่เปลี่ยนไปในนาทีสุดท้ายหนังสัตว์ประหลาดสู้กันเรื่องนั้นก็เปลี่ยนเป็นคำว่า "Whoever wins...we lose"แทน
>สินค้า : แน่นอนว่าเมื่อหนังมีที่มาจากสินค้า ไม่ต้องห่วงว่ามีคนผลิตของมาให้คนดูซื้อต่อแน่นอน ได้แก่ วิดีโอเกมส์แนวแอ็คชั่นทุกแพลตฟอร์ม รวมถึง บริษัท Hasbro Toy Company ที่ออกชุดพิเศษที่อิงแบบจากภาพยนตร์ซึ่งมีจุดเด่นคือการใช้เทคโนโลยีใหม่ในของเล่นที่ชื่อว่า Automorph Technology ทำให้เวลาเล่นสามารถย้ายส่วนประกอบไปต่อตามส่วนต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติตามใจผู้เล่น นอกจากนี้ยังรวมถึง Transformers: Animated อนิเมชั่นทางช่อง การ์ตูน เนตเวิร์ค ที่จะฉายในปี 2008 และโครงการภาคต่อที่ดรีมเวิร์คส์ประกาศสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว